กลุ่มพระต่างแคว้น คือ กลุ่มพระที่ออกบวชต่างแคว้นละ ๑ รูป(เฉพาะที่เป็นพระอสีติมหาสาวก) มี ๖ รูป คือ พระพาหิยะ พระปุณณะ พระทัพพะ พระรัฐบาล พระโสณโกฬิวิสะ พระมหากัปปินะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
การบรรลุธรรม (ต่อ)
พระปุณนณะ ครั้นบวชแล้วก็อยู่บำเพ็ญสมณธรรมที่เมืองสาวัตถีนั้นเอง แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใด เนื่องจากเมืองสาวัตถีมีสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพของท่าน ท่านจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลความจริงให้ทราบ พร้อมทั้งทูลขออนุญาตลากลับไปอยู่ที่อปรันตชนบท จากนั้นได้ทูลขอโอวาทเพื่อนำไปเป็นหลักปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า
“ปุณณะ รูปทั้งหลายที่เห็นได้ด้วยตา เสียงทั้งหลายที่ฟังได้ด้วยหู กลิ่นทั้งหลายที่ดมได้ด้วยจมูก รสทั้งหลายที่ลิ้มได้ด้วยลิ้น สิ่งสัมผัสทั้งหลายที่รู้ได้ทางกาย และธรรมารมณ์ทั้งหลายที่นึกถึงได้ด้วยใจ น่ารักน่าชอบใจมีอยู่ ถ้าภิกษุยินดี ยึดมั่นต่อรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกายและธรรมารมณ์เหล่านั้น ก็จะเกิดความเพลินใจ ตถาคตขอกล่าวว่า ความเพลินใจนั้นเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าภิกษุไม่ยินดีไม่ยึดมั่น ความเพลินใจก็จะดับไป ตถาคตขอกล่าวว่า ความดับไปแห่งความเพลินใจนั้น เป็นความสุข”
ก่อนที่ท่านจะกราบลา พระพุทธเจ้าทรงชวนท่านสนทนาถึงเรื่องการไปอยู่ในแคว้นอปรันตชนบท ซึ่งท่านกราบทูลยืนยันว่า หากไปแล้วจะต้องถูกฆ่าตาย เพราะน้ำมือของคนแคว้นเดียวกัน ท่านก็ยินดีสละชีวิต การที่พระพุทธเจ้าทรงชวนสนทนาเช่นนั้นก็เพราะทรงทราบดีว่า แคว้นอปรันตชนบทมีผู้คนดุร้าย บางทีอาจจะรังเกียจเมื่อเห็นคนแคว้นเดียวกันนับถือพระพุทธศาสนา แล้วจะทำร้ายเอาได้
แต่เมื่อทรงเห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ไม่กลัวภัยของพระปุณณะแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุโมทนาและตรัสอนุญาตให้ท่านไปจำพรรษาที่บ้านเกิดได้ ครั้นถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เดินทางกลับไปยังแคว้นอปรันตชนบทและพักอยู่ที่ภูเขาอัมพหัฎฐะ โดยมีน้องชายคือจูฬปุณณะมาคอยดูแล
แต่เนื่องจากภูเขาอัมพหัฎฐะอยู่ติดทะเล ถูกคลื่นซัดสาดใส่เสียงดังโครมคราม ดูไม่สงบ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ท่านจึงออกจากภูเขาอัมพหัฏฐะนั้นไปยังภูเขามาตุลคีรี แต่ที่นั่นก็ไม่สงบพอสำหรับท่านอีก เนื่องจากมีนกอยู่ชุกชุม ส่งเสียงร้องตลอดเวลา ท่านจึงออกจากภูเขามาตุลคีรีนั้นไปยังมกุฬการามอันเงียบสงบ ซึ่งไกลจากนั้นพอสมควร ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่มกุฬการามนั้นเอง และเจริญสมถะและวิปัสสนาได้ก้าวหน้ามาก จนได้บรรลุอรหัตผลในพรรษานั้นเอง
พระทัพพะ ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระเถระรูปหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ท่าน พระเถระรูปนั้นก่อนจะทำพิธีบวชก็สอนตจปัญจกกรรมฐานให้ โดยสอนให้ท่านกำหนดพิจารณาอวัยวะ 5 ส่วน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ขณะที่นั่งให้พระอุปัชฌาย์ปลงผมอยู่นั้น ท่านก็กำหนดพิจารณาตามที่เรียนมา และได้บรรลุมรรคผลตามลำดับ คือ โกนเสร็จจุกที่ 1 ได้บรรลุโสดาปัตติผล โกนเสร็จจุกที่ 2 ได้บรรลุสกทาคามิผล โกนเสร็จจุกที่ 3 ได้บรรลุอนาคามิผล ครั้นโกนเสร็จจุกที่ 4 อันเป็นจุกสุดท้าย พร้อมกับการโกนสิ้นสุดลง ก็ได้บรรลุอรหัตผล
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)