xs
xsm
sm
md
lg

พลิกชีวิต : ทรงกลด พยัคฆาภรณ์ ชีวิตนี้เป็นหนี้พระธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชีวิตที่พลิกผันของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวชาวจีนซึ่งมีฐานะยากจน ก้าวสู่ตำแหน่งเศรษฐีนีที่มีธุรกิจจิวเวลรี่ทั้งในและต่างประเทศ แต่วันหนึ่งโชคชะตากลับเล่นตลก เธอต้องแบกรับภาระหนี้นับพันล้านจากความไว้ใจหุ้นส่วนทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ต้องดูแลลูกเล็กๆ ถึง 2 คน

เธอผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นมาได้อย่างไร?

• โตมากับอาบอบนวด

“คุณต๊ะ” ทรงกลด พยัคฆาภรณ์
เจ้าของบริษัท จิวเวลเทค
อินเตอร์เนชั่นแนล แมนูแฟคเทอริ่ง จำกัด ซึ่งผลิตและส่งออกจิวเวลรี่เกรดเอของไทย บอกเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า แม้คุณปู่จะมีฐานะมั่งคั่ง แต่เนื่องจากคุณพ่อของเธอเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนที่ 3 เมื่อคุณปู่เสียชีวิต คุณพ่อจึงไม่ได้ส่วนแบ่งในกองมรดก อาชีพพนักงานขายประกันในสมัยนั้นก็ไม่ได้ทำให้คุณพ่อมีรายได้มากมาย ขณะที่คุณแม่เป็นแม่บ้านมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการรับซักรีดเสื้อผ้า ครอบครัวของเธอจึงค่อนข้างลำบาก หนำซ้ำยังมีช่วงหนึ่งที่คุณพ่อต้องถูกจำคุกด้วยคดีการเมือง เพราะสนิทสนมกับนายพลท่านหนึ่งที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาล ในช่วงการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

และจากการถูกจำคุก ทำให้คุณพ่อเกิดไอเดียในการทำธุรกิจอาบอบนวดหลังพ้นโทษ ซึ่งแม้ธุรกิจนี้จะทำให้ครอบครัวของเธอมีฐานะที่ร่ำรวยขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่เมื่อเธอพบว่าสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ธุรกิจของครอบครัวถูกตีตราจากสังคม ว่าเป็นธุรกิจสีเทา เธอจึงต้องการหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้

“คือคุณพ่อคุณแม่มีลูกถึง 4 คน เพราะฉะนั้นรายได้จากการขายประกันของคุณพ่อกับรับซักรีดของคุณแม่ ยังไงก็ไม่พอบ้านเราจนมาก จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไม่มีชุดที่จะใส่ออกนอกบ้านเลย นอกจากชุดนักเรียน ไปไหนก็ใส่แต่ชุดนักเรียน ตอนคุณย่าเสีย ได้กระโปรงดำมาชุดหนึ่ง เป็นกระโปรงตัวแรก ดีใจมาก แล้วก็เลยเป็นเด็กที่ไปไหนก็ใส่แต่ชุดดำ (หัวเราะ)

ช่วงที่คุณพ่อติดคุก ด้วยความที่เป็นนักโทษคดีการเมือง วันๆเลยไม่ต้องทำอะไร ว่างๆก็จ้างนักโทษแก่ๆมานวด พอนวดแล้วมันติดพอออกจากคุกมาคุณพ่อเลยปรึกษาคุณแม่ ว่าน่าจะมาเปิดร้านอาบอบนวด เพราะรู้สึกว่าคนนวดแล้วจะติด ปรากฏว่าธุรกิจโตเร็วมาก เพราะตอนนั้นเราเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ใครๆก็ต้องรู้จักอาบอบนวดชวาลา คุณพ่อเริ่มทำธุรกิจนี้ตอนดิฉันอยู่ป.3 พอขึ้น ป.4 บ้านเราก็มีรถขับแล้ว แต่ดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจกับเงินที่ได้มานะ เพราะไม่ชอบที่คนมองว่า เราเป็นผู้หญิงที่โตมาจากกิจการอาบอบนวด

พออายุ 14 คุณพ่อก็ส่งไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกา พี่ๆน้องๆไปกันหมด ดิฉันเรียนที่นั่นจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์ ก็กลับมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิยาลัยมหิดลได้ปีหนึ่ง ตรงนั้นก็ทำให้เราอยากเป็นหมอศัลยกรรม ก็กลับไปทำปริญญาโทด้านไบโอเคมิสทรีที่อเมริกา แต่ปรากฏว่าช่วงที่กำลังทำวิทยานิพนธ์ ได้กลับมาเยี่ยมบ้านแล้วรู้ว่าคุณพ่อมีอีหนู ด้วยความที่ยังเด็กก็คิดว่า โอ๊ย..กลับไปเรียนไม่ได้แล้ว ต้องตามไปลุยจนกว่าคุณพ่อจะเลิกกับผู้หญิงคนนี้

เมื่อไม่ได้กลับไปเรียนก็มาทำงานแบงค์ แล้วก็ช่วยคุณแม่ดูแลธุรกิจ แต่ช่วงนั้นธุรกิจอาบอบนวดของไทยมันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ มันเริ่มที่จะมีอะไรต่ออะไรเข้ามา มันไม่ใช่นวดอย่างเดียวแล้ว ก็เลยไม่แฮปปี้กับธุรกิจของครอบครัว” คุณต๊ะเล่าถึงช่วงชีวิตในวันวานอย่างออกรสชาติ

• เริ่มต้นธุรกิจจิวเวลรี่พันล้าน
ที่มียอดส่งออก 1 ใน 5 ของโลก


เนื่องจากไม่ต้องการอยู่ในเส้นทางธุรกิจสีเทา ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่เธอมีครอบครัวและมีทายาท 2 คน ด้วยหัวใจของความเป็นแม่ เธอจึงไม่อยากให้ลูกๆ เติบโตมาในสังคมที่แวดล้อมไปด้วยอบายมุข คุณต๊ะจึงเริ่มมองหาธุรกิจของตัวเอง โดยเริ่มจากธุรกิจส่งออก ซึ่งเธอลงทุนตระเวนไปยังโรงงานผลิตสินค้าต่างๆ เพื่อถ่ายทำแคตตาล็อกแนะนำสินค้าด้วยตัวเอง แต่การรับสินค้าจากโรงงานมาขายต่อนั้น มีต้นทุนที่สูง ทำให้ธุรกิจแรกของเธอไม่รุ่งเท่าไรนัก

แต่โชคชะตาก็ไม่ใจร้าย ด้วยเหตุบังเอิญที่ทำให้แหวนพลอยไพลินเม็ดเบี้ยวๆ ที่เธอซื้อมาในราคา 25,000 บาท มีคนสนใจขอซื้อต่อในราคาถึง 480,000 บาท หลังจากที่เธอส่งไปเจียระไนใหม่ ทำให้เธอเห็นช่องทางว่า ธุรกิจสามารถทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีได้ด้วยผลกำไรจากส่วนต่าง

เธอจึงตัดสินใจสลัดคราบไฮโซ ไปคลุกดินคลุกฝุ่นลงทุนทำเหมืองพลอยที่ศรีลังกาอยู่ 3 ปี ก่อนที่จะกลับมาทำธุรกิจค้าพลอยที่เมืองไทย และขยับขยายไปทำจิวเวลรี่ในเวลาต่อมากระทั่งเติบโตขึ้นมาเป็นบริษัทจิวเวลเทคฯ จนถึงปัจจุบัน

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เธอเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยเงินเพียง 1,700,000 บาท แต่สามารถทำให้งอกเงยมาเป็นธุรกิจพันล้าน และเป็นเจ้าของธุรกิจอัญมณีที่มียอดส่งออก 1 ใน 5 ของโลก ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ทั้งที่ในช่วงนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่เธอประสบกับปัญหาครอบครัวล่มสลาย และต้องกลายเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกๆ สองคน

“ดิฉันชอบพวกเพชรพลอย ชอบจิวเวลรี่มาตั้งแต่เล็ก ทีนี้พอทำเหมืองพลอยไปได้สักพักก็เริ่มมีพลอยในสต็อก จากที่ขายเป็นพลอยดิบอย่างเดียวก็เริ่มเอาพลอยที่มีอยู่ มาเจียระไน และทำเป็นจิวเวลรี่ขึ้นมา

แรกๆ ก็ซื้อตัวเรือนมาประดับพลอยประดับเพชร พอเริ่มมีช่างก็เริ่มวาดแบบเอง จากที่มีช่างแค่ 4 คน อยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ก็มาเป็นบริษัทและมีโรงงาน แล้วขยายเรื่อยมาจนเป็นจิวเวลเทคอย่างในปัจจุบัน

ดิฉันเริ่มธุรกิจนี้ประมาณปี 1986 มาเป็นจิวเวลเทคประมาณปี 1991 ก็เจอกับอะไรมาเยอะ แต่ประสบการณ์ที่ได้จากการลองผิดลองถูก เจอคนดีบ้างไม่ดีบ้างก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น” คุณต๊ะพูดถึงธุรกิจที่สร้างมากับมือด้วยความภาคภูมิใจ

• ถูกโกงจนเป็นหนี้นับพันล้าน

แม้จะเจอกับเล่ห์เหลี่ยมและกลโกงสารพัด แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะทำให้นักธุรกิจหญิงแกร่งต้องเจ็บช้ำและเดือดร้อนแสนสาหัสเท่ากับครั้งที่ถูกหุ้นส่วนคนสนิทหลอกให้เธอโอนเงินจำนวนมหาศาล ไปลงทุนในธุรกิจจิวเวลรี่ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ โดยที่เธอไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีชื่อเธอเป็นหุ้นส่วนอยู่แม้แต่น้อย และผลจากการถูกหลอกครั้งนี้ ทำให้เธอต้องเป็นหนี้นับพันล้าน

“ดิฉันมีหุ้นส่วนเป็นชาวเลบานอน ซึ่งเขาก็ร่วมทุนกับเราที่เมืองไทย เขาก็ชวนให้ไปลงทุนเปิดบริษัทที่ดูไบ ลงทุนคนละ 50 : 50 ดิฉันก็โอนเงินให้ เขาก็ส่งเอกสารต่างๆมาให้ดู และด้วยความไว้ใจ ดิฉันก็เซ็นไปทั้งๆที่อ่านภาษาอาหรับไม่ออกเปิดบริษัทไปได้ 2 ปี ถึงมาเอะใจว่า เมื่อเราเข้าไปในฐานะนักลงทุน ทำไมไม่ได้วีซ่าสำหรับนักลงทุนเสียที พอสอบถามไป เขาก็อ้างว่าทนายไม่อยู่บ้าง มีปัญหาตลอด คือทุกครั้งที่ไปดูไบ เขาต้องให้เลขาบริษัททำวีซ่ารับเรา เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไป เขาก็จะรู้ตลอด

ในที่สุดก็เลยให้เพื่อนซึ่งป็นทหารอยู่ที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ช่วยสืบ เขาก็ติดต่อกลับมาว่า ไม่มีชื่อเธออยู่ในบริษัทเลยนะ ดิฉันก็บินไปดูไบเลย หุ้นส่วนก็บอกว่างั้นเขาจะไม่มายุ่งกับบริษัทที่เมืองไทย ส่วนดิฉันก็ไม่ต้องไปยุ่งที่ดูไบ แต่ว่าเงินร่วมลงทุนกัน รวมทั้งพลอยส่วนใหญ่ ก็ไปอยู่ที่ดูไบหม แล้วเราก็เอาพลอยจากบริษัทที่ดูไบออกมาไม่ได้ เพราะไม่มีชื่อในบริษัท ขณะที่เราก็ยังเป็นหนี้ค่าพลอยอยู่อีกมหาศาลเพราะธุรกิจนี้เป็นระบบเครดิต เวลาซื้อพลอยมา ยังไม่ต้องจ่ายเงินจนกว่าจะครบกำหนด ระหว่างนั้นเราก็สามารถนำพลอยที่ทำเป็นจิวเวลรี่เสร็จแล้วไปขาย เอาเงินมาจ่ายเป็นค่าพลอย

แล้วช่วงนั้นก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด คนไทยที่เราเคารพและไว้ใจมาก บอกว่ามีแขกอินเดียที่จะเข้ามาซื้อธุรกิจจิวเวลรี่ของดิฉัน คือตอนนั้นเราอยากขายธุรกิจ เพราะอยากได้เงินมาเคลียร์หนี้ วิธีการของคนกลุ่มนี้สลับซับซ้อนมากจนเราหลงเชื่อ คนไทยมาหลอกดิฉันว่าแขกคนนี้มีเงิน ให้ดิฉันส่งของไปเลย เดี๋ยวเขาจะโอนเงินกลับมา ดิฉันร้อนเงินมาก เลยรีบส่งของไป แล้วก็ทำท่าว่าจะได้เงินแต่ไม่ได้สักที

จิวเวลรี่ล็อตสุดท้ายที่ส่งให้ไป มูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ตอนนั้นเหรียญละ 40 บาท ก็เท่ากับ 200 ล้านบาท รวมแล้ว 2 รายที่มาโกงในช่วงติดๆ กันเนี่ยะ ดิฉันหมดไปเป็นพันล้านเป็นหนี้ทั้งธนาคารและหนี้การค้าที่เราเครดิตของมา ที่ดินที่ซื้อเก็บไว้ก็ต้องเอามาขายล้างหนี้” คุณต๊ะเล่าถึงช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต

• ธรรมะรักษาชีวิต จนหมดหนี้สิน

คุณต๊ะบอกว่า ถ้าเธอไม่มีลูกที่ต้องดูแล ไม่มีธรรมะช่วยกล่อมเกลาจิตใจ เธออาจตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงลูก เธอจึงต้องกัดฟันสู้ และก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อหาเงินใช้หนี้ โดยที่ไม่เคยปริปากบ่น กระทั่งวันนี้เธอสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และยังคงอยู่ในธุรกิจจิวเวลรี่ที่เธอสร้างมากับมือ

ต้องเรียกว่าเธอโชคดี ที่มีธรรมะที่ได้รับการปลูกฝังจากคุณแม่มาตั้งแต่ยังเด็กๆ เป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายมาได้

“ดิฉันใช้เวลาถึง 8 ปีกว่าจะใช้หนี้หมด แทบบ้าเลยนะ คือตอนนั้นยังพอมีพลอยในสต็อกอยู่บ้าง ก็เอามาทำเป็นจิวเวลรี่ขาย ได้เงินมาก้อนหนึ่งก็ทยอยใช้หนี้ แต่ไม่เคยคุยให้ใครฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนๆ หรือแม้แต่พนักงานในบริษัท

บังเอิญโชคดีเหมือนกับคุณพระช่วยน่ะค่ะ ตอนนั้นจิวเวลรี่ที่ใช้แต่พลอยเป็นหลักกำลังได้รับความนิยมมาก ฮิตกันทั่วโลก ก็เลยขายดี ทำให้ค่อยๆ ปลดหนี้ไปได้

จริงๆ แล้วตอนนั้นดิฉันกลุ้มใจถึงขั้นเคยคิดจะฆ่าตัวตายเลยนะ แต่มาฉุกคิดว่า เอ...ลูกยังเล็ก ถ้าเราตายใครจะเลี้ยงลูกแล้วโชคดีที่ได้ธรรมะจากคุณแม่ แม่สอนให้นั่งสมาธิตั้งแต่เด็ก ดิฉันจะสวดมนต์มาตลอด แล้วก็ชอบไปบวชชีพราหมณ์ตั้งแต่สมัยสาวๆ เลย คือคุณแม่จะชอบช่วยเหลือคน แล้วก็โดนโกงมาเยอะ แต่แม่ดิฉันไม่เคยโกรธเลย กลับบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เราทำดีเดี๋ยวก็ได้ดี ดิฉันก็อาจจะได้ตรงนี้จากแม่มา

เชื่อไหม..เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นเนี่ยะ ดิฉันไม่ได้รู้สึกโกรธคนที่มาโกงเลยนะ มันกลุ้มจากปัญหาที่เราเป็นหนี้ แต่เราไม่ได้โกรธเพราะคิดได้ว่า คงเคยไปทำอะไรเขาไว้เมื่อชาติที่แล้ว” คุณต๊ะพูดถึงประโยชน์ที่ได้จากธรรมะซึ่งช่วยให้เธอผ่านวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้

เธอยังบอกด้วยว่า ตอนนี้นอกจากภาระเรื่องหน้าที่การงาน และการดูแลลูกๆแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่เธอต้องทำ นั่นก็คือใช้หนี้พระพุทธศาสนา

“ทุกวันนี้ดิฉันคิดอย่างเดียวว่า เป็นหนี้พระพุทธเจ้า ดิฉันก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อใช้หนี้พระพุทธศาสนา ทั้งทำบุญทานทำนุบำรุงศาสนา สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ(ส่วนพระจักษุธาตุ) แล้วที่สำคัญคือการปฏิบัติธรรม โดยใช้วิถีกำหนดลมหายใจเพื่อกำหนดสติ เวลามีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับธรรมะ ก็จะโทร.ไปปรึกษาพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ

ดิฉันว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่มีปัญหา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามี 3 อย่างนี้ ชีวิตเรารอดค่ะ คือ ปล่อยวาง ให้อภัย และมีสติ”
คุณต๊ะกล่าวตบท้ายด้วยความมั่นใจ

ทรงกลด พยัคฆาภรณ์ ได้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของตนเอง ที่พ้นวิกฤตของชีวิตมาได้ด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไว้ในหนังสือ “ธรรมะชำระหนี้” โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายหนังสือ สมทบทุนสร้างพระมหาเจดีย์มงคล ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) ณ วัดป่าศรีคุณาราม จ.อุดรธานี

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 140 สิงหาคม 2555 โดย กฤตสอร)






หนังสือ ธรรมะชำระหนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น