xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : กลุ่มพระต่างแคว้น (ตอนที่ ๘๙)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลุ่มพระต่างแคว้น คือ กลุ่มพระที่ออกบวชต่างแคว้นละ ๑ รูป (เฉพาะที่เป็นพระอสีติมหาสาวก) มี ๖ รูป คือ พระพาหิยะ พระปุณณะ พระทัพพะ พระรัฐบาล พระโสณโกฬิวิสะ พระมหากัปปินะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้

การออกบวช

พระพาหิยะ ทูลขอบวชหลังจากได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและฟังธรรมแล้ว แต่มิทันได้บวชก็นิพพานก่อน เรื่องมีว่า

ขณะที่ท่านกำลังสำคัญผิดว่าท่านคือพระอรหันต์ และอยู่อย่างสุขสบายด้วยลาภสักการะที่ผู้เลื่อมใสนำมามอบให้นั้น บางครั้งก็นำผ้าเปลือกบางๆ มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ฉะนั้นจึงมีชื่อว่า “พาหิยทารุจิริยะ” แปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม

ท่านเลี้ยงชีวิตอย่างนี้ จนอยู่มาวันหนึ่ง มหาพรหมองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าในอดีตชาติ ซึ่งสังเกตท่านอยู่ตลอดเวลา ก็มาจากพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ปรากฏกายให้ท่านเห็น พร้อมทั้งบอกให้ท่านทราบว่าไม่ใช่พระอรหันต์ และไม่ได้ปฏิบัติตามทางที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วย

พรหมองค์นี้เป็นเพื่อนเก่าของท่านครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมด้วยกัน หลังจากบรรลุอนาคามิผลแล้ว ก็มรณภาพไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เห็นท่านประพฤติผิดจึงมาเตือนด้วยความปรารถนาดี และยังได้บอกอีกว่า บัดนี้พระอรหันต์ที่แท้จริงได้อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์คือ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล

เมืองสาวัตถีไกลจากอปรันตชนบทประมาณ ๑๒๐ โยชน์ (๑,๙๒๐ กิโลเมตร) พระพาหิยะทันทีที่ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น ก็เกิดปีติอย่างแรงกล้า รีบเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะด้วยอาการรีบร้อน เช้าวันหนึ่งจึงมาถึงเมืองสาวัตถี ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมืองพอดี

ท่านไปที่วัดเชตวันและได้ทราบจากพระในวัดว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง จึงรีบลาจากพระ มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองสาวัตถี เหตุที่ท่านรีบร้อนเช่นนี้ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ชีวิตของท่านหรือของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงไร ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้อาจตาย หรือพระพุทธเจ้า อาจปรินิพพานก็ได้ หากท่านเป็นเช่นนี้แล้วก็จะพลาดโอกาสฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

ด้วยความคิดดังกล่าว จึงทำให้ท่านรีบออกตามหาพระพุทธเจ้าทั่วเมืองสาวัตถี จนที่สุดก็มาพบขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินอยู่กลางถนน ทันทีที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปีติท่วมท้น ถลาเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า พลางทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง

“พาหิยะ” พระพุทธเจ้าตรัสห้าม “เวลานี้มิใช่เวลาแสดงธรรม เห็นไหมตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่กลางถนน”

ท่านหยุดระยะนิดหนึ่ง ครั้นแล้วก็ได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟังอีก ครั้งที่ 3 พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยสมควรฟังธรรมได้ จึงตรัสว่า

“พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้แล พาหิยะ เมื่อใดแล เธอเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกก็สักแต่ว่ารู้สึก เมื่อนั้น (ความสำคัญว่า) ตัวเธอก็ไม่มี

เมื่อใด (ความสำคัญว่า) ตัวเธอไม่มี เมื่อนั้นตัวเธอก็ไม่มีในที่นั้น เมื่อใดตัวเธอไม่มีในที่นั้น เมื่อนั้นตัวเธอก็ไม่มีในโลกนี้ ในโลก หน้า และในระหว่างโลกทั้ง ๒ นี้แหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ (ทุกข์สิ้นไป)”


พระพาหิยะพิจารณาตามที่ท่านพระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างย่อๆ ท่านได้บรรลุอรหัตผลทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบ จากนั้นจึงทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้ท่านหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านทำตาม แต่ถูกแม่วัวขวิดเสียก่อน จึงนิพพานโดยยังมิทันได้บวช

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น