เอตทัคคะ-อดีตชาติ (ต่อ)
พระนันทะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าอนุรุทธะ ครั้งนั้น ท่านเกิดเป็นนายพรานเนื้อออกป่าล่าสัตว์ทุกวัน วันหนึ่ง ขณะกำลังออกล่าสัตว์อยู่นั้น ท่านได้พบพระพุทธเจ้าประทับนั่งสงบอยู่ในป่านั้นแล้วเกิดความเลื่อมใส
ท่านได้สร้างปะรำมุงด้วยดอกบัวถวายให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าประทับนั่งแล้ว ท่านยิ่งเกิดศรัทธาแรงกล้า ทิ้งธนูแล้วเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอบวช ครั้นบวชแล้วได้ไม่นานก็อาพาธหนัก และมรณภาพลงในที่สุด ขณะที่จะมรณภาพนั้นท่านระลึกถึงความดีที่ทำไว้ คือ สร้างปะรำถวายพระพุทธเจ้า จิตของท่านผ่องใส เมื่อมรณภาพแล้ว บุญส่งผลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
หลังจากชาติที่เกิดในสวรค์ชั้นดุสิตแล้ว บุญยังคงส่งผลให้ท่านเวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
พระเหมกะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปิยทัสสี ครั้งนั้น ท่านออกบวชเป็นฤาษีชื่อ “อโนม” ตั้งอาศรมอยู่ใกล้เงื้อมเขาลูกหนึ่งบริเวณป่าหิมพานต์ ท่านเป็นอยู่อย่างสุขสงบในอาศรมนั้น
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าปิยทัสสีเสด็จไปหาถึงอาศรม ท่านเห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงรีบถวายการต้อนรับโดยการกราบทูลให้ประทับนั่งบนตั่งแก้วที่ท่านเนรมิตขึ้นในขณะนั้น จากนั้นท่านได้น้อมผลหว้าใบโตขนาดเท่าหม้อข้าว เข้าไปถวายพระพุทธเจ้าให้เสวย
ครั้นเสวยแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสอนุโมทนาทานของท่านและ ตรัสถึงอานิสงส์ต่างๆ ท้ายที่สุดได้ตรัสพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล”
ฤาษีได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
พระโตเทยยะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าสุเมธะ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า “วิชิตชยะ” และต่อมาได้สละราชสมบัติออกบวชเป็นฤษี ตั้งอาศรมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำภาคีรถี
มูลเหตุที่ทำให้ออกบวช คือ ความกลัวว่าจะตกนรก เพราะในชาตินั้น ขณะที่ครองราชสมบัติอยู่ เกิดจลาจลในแว่นแคว้น พระเจ้าวิชิตชยะทรงนำทัพออกไปปราบด้วยพระองค์เอง และทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตผู้ก่อจลาจลจำนวนนับหมื่น ด้วยการจับเสียบหลาวทั้งเป็น
พระเจ้าวิชิตชยะทรงปราบจลาจลได้สำเร็จ แต่พระองค์กลับไม่มีความสุข เพราะพระทัยเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา บรรทมไม่หลับเลยทั้งกลางวันและกลางคืน เนื่องจากทรงเห็นภาพอันน่าสยดสยองที่เกิดจากพระองค์ทรงสั่งให้ทำ ที่ผุดขึ้นหลอกหลอนไม่ขาดระยะ ในที่สุดทรงแน่พระทัยว่าบาปกรรมครั้งนี้จะส่งผลให้ พระองค์ตกนรกแน่ ดังนั้น จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติออกบวชเป็นฤาษี แสวงหาหนทางพ้นจากนรกในเวลาต่อมา
ในชาตินั้น ท่านถือลัทธิบูชาไฟ ดังนั้น เมื่อบวชแล้วจึงสร้างโรงบูชาไฟขึ้นใกล้อาศรม และบูชาอยู่สม่ำเสมอจนจิตสงบขึ้น
วันหนึ่ง ขณะทำพิธีบูชาไฟอยู่นั้น ท่านได้ทราบจากเทวดาตนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าสุเมธะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงละทิ้งอาศรมออกจากป่า เที่ยวตามหาพระพุทธเจ้า และมาพบขณะที่พระองค์กำลัง แสดงอริยสัจ ๔ ให้ประชาชนหมู่หนึ่งฟัง จึงเข้าไปนมัสการแล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ดอกไม้จะส่งกลิ่นหอมตลบไปได้ก็แต่เฉพาะตามลมเท่านั้น หาหอมทวนลมไปไม่ แต่พระองค์ทรงมีกลิ่นหอมทวนลม ข้าพระองค์ได้กลิ่นคือพระเกียรติคุณของพระองค์ จึงดั้นด้นมาเฝ้าจากป่าหิมพานต์ บัดนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้บูชาพระองค์ด้วยเครื่องจันทน์หอม นี้เถิด”
ว่าแล้วก็น้อมผงจันทน์หอมเข้าไปลูบไล้พระวรกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงยอมให้ท่านลูบไล้ก็ด้วยทรงมีพระประสงค์จะรักษาศรัทธาของท่านไว้ พระองค์ได้ตรัสอนุโมทนาทานและตรัสถึงอานิสงส์ต่างๆ ที่ท่านจะได้รับแล้ว ท้ายที่สุดได้ตรัสพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล”
ฤาษีได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระนันทะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าอนุรุทธะ ครั้งนั้น ท่านเกิดเป็นนายพรานเนื้อออกป่าล่าสัตว์ทุกวัน วันหนึ่ง ขณะกำลังออกล่าสัตว์อยู่นั้น ท่านได้พบพระพุทธเจ้าประทับนั่งสงบอยู่ในป่านั้นแล้วเกิดความเลื่อมใส
ท่านได้สร้างปะรำมุงด้วยดอกบัวถวายให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าประทับนั่งแล้ว ท่านยิ่งเกิดศรัทธาแรงกล้า ทิ้งธนูแล้วเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอบวช ครั้นบวชแล้วได้ไม่นานก็อาพาธหนัก และมรณภาพลงในที่สุด ขณะที่จะมรณภาพนั้นท่านระลึกถึงความดีที่ทำไว้ คือ สร้างปะรำถวายพระพุทธเจ้า จิตของท่านผ่องใส เมื่อมรณภาพแล้ว บุญส่งผลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
หลังจากชาติที่เกิดในสวรค์ชั้นดุสิตแล้ว บุญยังคงส่งผลให้ท่านเวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
พระเหมกะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปิยทัสสี ครั้งนั้น ท่านออกบวชเป็นฤาษีชื่อ “อโนม” ตั้งอาศรมอยู่ใกล้เงื้อมเขาลูกหนึ่งบริเวณป่าหิมพานต์ ท่านเป็นอยู่อย่างสุขสงบในอาศรมนั้น
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าปิยทัสสีเสด็จไปหาถึงอาศรม ท่านเห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงรีบถวายการต้อนรับโดยการกราบทูลให้ประทับนั่งบนตั่งแก้วที่ท่านเนรมิตขึ้นในขณะนั้น จากนั้นท่านได้น้อมผลหว้าใบโตขนาดเท่าหม้อข้าว เข้าไปถวายพระพุทธเจ้าให้เสวย
ครั้นเสวยแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสอนุโมทนาทานของท่านและ ตรัสถึงอานิสงส์ต่างๆ ท้ายที่สุดได้ตรัสพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล”
ฤาษีได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
พระโตเทยยะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าสุเมธะ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า “วิชิตชยะ” และต่อมาได้สละราชสมบัติออกบวชเป็นฤษี ตั้งอาศรมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำภาคีรถี
มูลเหตุที่ทำให้ออกบวช คือ ความกลัวว่าจะตกนรก เพราะในชาตินั้น ขณะที่ครองราชสมบัติอยู่ เกิดจลาจลในแว่นแคว้น พระเจ้าวิชิตชยะทรงนำทัพออกไปปราบด้วยพระองค์เอง และทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตผู้ก่อจลาจลจำนวนนับหมื่น ด้วยการจับเสียบหลาวทั้งเป็น
พระเจ้าวิชิตชยะทรงปราบจลาจลได้สำเร็จ แต่พระองค์กลับไม่มีความสุข เพราะพระทัยเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา บรรทมไม่หลับเลยทั้งกลางวันและกลางคืน เนื่องจากทรงเห็นภาพอันน่าสยดสยองที่เกิดจากพระองค์ทรงสั่งให้ทำ ที่ผุดขึ้นหลอกหลอนไม่ขาดระยะ ในที่สุดทรงแน่พระทัยว่าบาปกรรมครั้งนี้จะส่งผลให้ พระองค์ตกนรกแน่ ดังนั้น จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติออกบวชเป็นฤาษี แสวงหาหนทางพ้นจากนรกในเวลาต่อมา
ในชาตินั้น ท่านถือลัทธิบูชาไฟ ดังนั้น เมื่อบวชแล้วจึงสร้างโรงบูชาไฟขึ้นใกล้อาศรม และบูชาอยู่สม่ำเสมอจนจิตสงบขึ้น
วันหนึ่ง ขณะทำพิธีบูชาไฟอยู่นั้น ท่านได้ทราบจากเทวดาตนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าสุเมธะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงละทิ้งอาศรมออกจากป่า เที่ยวตามหาพระพุทธเจ้า และมาพบขณะที่พระองค์กำลัง แสดงอริยสัจ ๔ ให้ประชาชนหมู่หนึ่งฟัง จึงเข้าไปนมัสการแล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ดอกไม้จะส่งกลิ่นหอมตลบไปได้ก็แต่เฉพาะตามลมเท่านั้น หาหอมทวนลมไปไม่ แต่พระองค์ทรงมีกลิ่นหอมทวนลม ข้าพระองค์ได้กลิ่นคือพระเกียรติคุณของพระองค์ จึงดั้นด้นมาเฝ้าจากป่าหิมพานต์ บัดนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้บูชาพระองค์ด้วยเครื่องจันทน์หอม นี้เถิด”
ว่าแล้วก็น้อมผงจันทน์หอมเข้าไปลูบไล้พระวรกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงยอมให้ท่านลูบไล้ก็ด้วยทรงมีพระประสงค์จะรักษาศรัทธาของท่านไว้ พระองค์ได้ตรัสอนุโมทนาทานและตรัสถึงอานิสงส์ต่างๆ ที่ท่านจะได้รับแล้ว ท้ายที่สุดได้ตรัสพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล”
ฤาษีได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมินับชาติไม่ถ้วน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)