การได้รับรางวัล SVN ประจำปี 2554 จากเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เอเชีย (ประเทศไทย) หรือ Social Venture Network Asia (Thailand) ประเภทธุรกิจดีเด่นขนาดใหญ่ เป็นการยืนยันผลสำเร็จของ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ที่ได้ผลิตนวัตกรรมเพื่อผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ก้าวไปพร้อมๆ กัน
• ตอบไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่
กว่าสองทศวรรษของอำพลฟูดส์ฯ ที่นำเสนอผลผลิตของมะพร้าวในรูปแบบใหม่ เป็นกะทิในกล่องยูเอชที ตรา “ชาวเกาะ” เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกกับการประกอบอาหาร สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ถือเป็นคีย์แมนตั้งแต่แรก จนมาถึงวันนี้ ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวมากมาย และยังเสริมไลน์ไปสู่การผลิตอาหารอื่นๆ ได้แก่ น้ำแกงพร้อมปรุงสารพัดแกง ตรารอยไทย, ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว ตราคิง ไอแลนด์, ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพ ตรากู๊ดไลฟ์, ผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคู ตราวี-ฟิท, ผลิตภัณฑ์บุกผสมผลไม้ ตราฟิต-ซี, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มธัญญาหารน้ำลูกเดือย ตราโปร-ฟิท และในปีที่แล้วก็เพิ่มอีก 3 ผลิตภัณฑ์ คือ กะทิใบเตย ตราชาวเกาะ, ไอศกรีมหวานเย็น ICEDREAM และซอสปรุงรสผัดกระเพรา ในกลุ่มน้ำแกงพร้อมปรุง ตรารอยไทย
บอสใหญ่ได้แสดงเจตนารมณ์ต่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสู่ผู้บริโภค จนปัจจุบันขายทั้งในและต่างประเทศกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ว่า
“ความรู้ที่ได้มาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆไม่ใช่การเลียนแบบ หรือหากจะเลียนแบบใครเราก็ต้องพัฒนาให้เหนือกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อย่าคิดว่าเรารู้แล้วเพราะไม่มีใครที่สามารถรู้ทุกเรื่อง
ผมมองว่า นวัตกรรมมะพร้าวเป็นทางรอดขององค์กร โดยเฉพาะตอนที่ไทยเข้าไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ถ้าเราไม่เตรียมตัว วัตถุดิบที่แพงกว่าเขา ไม่ว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย ศรีลังกา ที่มีมะพร้าวมากกว่าเรา ซึ่งเป็นอันดับ 6 ของโลก เขาเอาราคามาสู้ แถมค่าแรงยังถูกกว่า เราจำเป็นต้องหาข้อได้เปรียบ ในเมื่อเรามีดีที่อาหารไทย ติด 1 ใน 5 ของโลก และกะทิก็เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารไทย การที่เราสร้างนวัตกรรมโดยต่อยอดอาหารของเราเอง อย่างน้ำแกงรอยไทย น้ำแกงสำเร็จรูป เราก้าวข้ามไปอีกขั้นก่อน”
• สังคม สิ่งแวดล้อมได้
ตัวเราก็ได้
เมื่อปีที่แล้ว อำพลฟูดส์ได้ร่วมกับมูลนิธิทันตนวัตกรรม และหน่วยงานอีก 4 หน่วยงาน คิดค้นเยลลี่โภชนาการ หรืออาหารเจลลี่อ่อน เพื่อผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ด้วยความตระหนักถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะสุดท้าย มีโอกาสเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 45 เนื่องจากผู้ป่วยกินอาหารไม่ค่อยได้ ต้องพึ่งพาการให้อาหารทางสายยาง ดังนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งสามารถกินได้ทางปาก กลืนง่าย ให้พลังงาน มีสารอาหารครบถ้วน ย่อมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทำนองเดียวกัน สังคมในองค์กร อำพลฟูดส์ ก็หานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ในทุกกระบวนการผลิตมีต้นทุนต่ำลง ทุกวันนี้โจทย์ตามที่ตั้งไว้ว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะใช้ทุกส่วนของมะพร้าว ไปเพิ่มมูลค่าของมะพร้าว ก็ทำได้ตามเป้าหมายแล้ว เรียกว่า เปลือก กะลา กากมะพร้าว หรือแม้แต่น้ำใช้แล้วจากกระบวนการผลิต ก็นำกลับมาใช้ซ้ำ
พร้อมกันนี้ได้ขับเคลื่อน 3 โครงการรักษ์สังคมสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน ได้แก่ โครงการกล่องวิเศษ ซึ่งปีนี้ดำเนินการ เป็นปีที่ 2 เป็นโครงการที่ห่วงใยใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในการช่วยลดภาวะโลกร้อน ด้วยการนำกล่องยูเอชทีมารีไซเคิลเพื่อแปรรูป เป็นแผ่นชิฟท์บอร์ด และนำมาประกอบเป็นโต๊ะ-เก้าอี้นักเรียน เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนต่างๆ ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ
โดยปีนี้ขยายออกไปร่วมมือกับพันธมิตร กลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มเนชั่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ(สพฐ) และคณะมัณฑนศิลป์ สาขาวิชาการออกแบบ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในการจัดโครงการต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์เด็กและเยาวชนไทย ในการปลูกจิตสำนึกให้รักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการ Magic Box Idea Contest โครงการจัดการประกวดออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มาร่วมประชันไอเดียการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ และอีกหนึ่งโครงการประกวดแผนดี กล่องมาก เพื่อรณรงค์ให้เกิดการลดปริมาณขยะ และนำกล่องยูเอชทีกลับมารีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ อันเป็นการจัดการวัสดุเหลือใช้ให้เกิดคุณค่าในสังคมต่อไป
โครงการ GREEN FACTORY เป็นการร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ดำเนินการไปแล้วกว่า 80% คงเหลือเพียงส่วนของบ่อหมักแก๊สชีวภาพ ใช้เงินลงทุนกว่า 60 ล้านบาท เป็นการหมักของเสีย และวัสดุที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตของโรงงาน นอกจากได้แก๊สชีวภาพมาใช้เป็นพลังงานหมุนเวียนในโรงงานแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยของเสีย และกลิ่นออกนอกโรงงานด้วย
โครงการ WOOD PLASLET ซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในการอัดกากใยมะพร้าวที่มีน้ำหนักเบาให้เป็นแท่ง โดยนำวัตถุดิบจากของเหลือในตัวมะพร้าวมาแปรรูปเป็นแท่งชีวมวล นำไปเผาสร้างพลังงานความร้อน และแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า มาใช้ภายในโรงงาน ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ปีละกว่า 30 ล้านบาท
เกรียงศักดิ์บอกว่า ไลน์โปรดักส์ของอำพลฟูดส์ฯ เป็นระบบปิด สามารถลดการใช้พลังงาน น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้ รับรางวัล SBN Awardsเพราะมีการอนุรักษ์พลังงาน นำทรัพยากรไปใช้แล้วได้ประโยชน์สูงสุด
“ทางเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการพิจารณารางวัล SVN บอกว่า ได้สอบถามเกษตรกร ที่ปลูกมะพร้าวแถบภาคใต้ ว่าพึงพอใจขนาดไหนกับอำพลฟูดส์ฯ ก็ได้คำตอบว่าเราช่วยให้พวกเขาขายได้ราคาสม่ำเสมอ รวมถึงรู้อีกว่าเราไปช่วยเหลือ เช่น แจกพันธุ์มะพร้าว แนะวิธีการกำจัดศัตรูพืชมะพร้าว นี่ผมมารู้ที่ภายหลังว่าตรวจสอบกันตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ”
• ยกระดับ “ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก”
เกรียงศักดิ์ เล่าถึงการเป็นอีกองค์กรที่รักษ์โลก ว่าปีที่แล้วนำผลิตภัณฑ์กะทิสำเร็จรูปตรา “ชาวเกาะ” เข้าสู่กระบวนการจน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากลดคาร์บอนจากคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (TBCSD)
“หากสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่รอดยาก บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิต ฉลากลดคาร์บอนที่ได้แสดงว่าช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศจากกระบวนผลิตถึง 20%”
มาปีนี้อำพลฟูดส์ ยังแสดงเจตนารมณ์ในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้วยการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาติดฉลากฟุตพริ้นต์
“มีคนพูดกันว่ายาก เพราะเป็นการดูตลอดกระบวนการผลิต จากต้นน้ำ-ปลายน้ำ ตั้งแต่เอาวัตถุดิบจนเป็นขยะ ทุกขั้นตอนมีหลักการคิด ก็ต้องเรียนรู้ อย่างฉลากลดคาร์บอนที่ได้มา ก็ทำ ให้เห็นกระบวนการที่สร้างคุณค่าต่อทั้งตัวเราเองและสิ่งแวดล้อม เราจึงตั้งใจจะทำให้ได้ทุกผลิตภัณฑ์”
แม้ผู้บริโภคบ้านเรายังไม่ตื่นตัว แต่บอสใหญ่อำพลฟูดส์ฯ กลับมองไปไกลถึงการติดฉลากฟุตพริ้นต์บนทุกผลิตภัณฑ์ เพราะเชื่อว่า นอกจากดีต่อการส่งออกในอนาคต ซึ่งทุกประเทศมีแนวโน้มใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และบางประเทศแถบยุโรป ขยับเข้าใกล้ที่จะออกเป็นกฎหมาย ซึ่งรายใดติดฉลากนี้ ก็จะได้รับพิจารณาเลือกเป็นลำดับต้นๆ ที่จะค้าขายด้วย
เขาย้ำเรื่องการลงทุนเพื่อสังคมว่า คุ้มค่าในระยะยาว “เรามักพูดเป็นตัวเงินที่อาจจะไม่จำเป็น ประสบการณ์ที่เราลงทุนหลายสิบล้านบาทแต่ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่ถึงปีคืนทุน อย่างบ่อน้ำเสียก็ได้กระแสไฟฟ้ามาใช้ หรือโครงการกล่องวิเศษ เราลองไปลดทอนค่าโฆษณาลงมา ก็พบว่าแบรนด์กลับดีขึ้น เรียกว่าได้ใจลูกค้าอย่างเห็นชัดแม้จะคิดเป็นตัวเงินยากก็ตาม”
• กว่าจะเป็นวันนี้ ของ “อำพลฟูดส์”
ในปี 2523 อำพลฟูดส์ฯ เริ่มท้าทายด้วยการนำเสนอ “กะทิในกล่อง” ให้เป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า ซึ่งกล่าวได้ว่าต้องใช้การตัดสินใจที่กล้าได้กล้าเสีย เพราะกว่าจะถูกยอมรับ ต้องเผชิญอุปสรรคและการลองผิดลองถูก
หลักคิดที่ใช้ดำเนินชีวิตของ “เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร” ไม่ได้ยึดหลักการอะไรมาก เขาเห็นพ่อแม่ที่ทำงานด้วยความยากลำบากมาตั้งแต่วัยเด็กก็ซึมซับตลอดมา แม้กระทั่งการใช้ชีวิตทุกวันแบบง่ายๆ อย่างการเลือกทำงาน ที่ตนเองถนัด เขาก็บอกว่าเป็นชีวิตที่เขาเลือกเองแล้วมีความสุขที่ได้ทำ
“สมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ อำพล-จรีพร เทพผดุงพร ต้องขนมะพร้าววันละสามสี่พันลูกไปขาย พอกิจการเริ่มไปได้ดี พ่อจึงเซ้งห้องแถวย่านท่าเตียน เปิดเป็น “ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมมะพร้าว” ขายตั้งแต่ตีสี่ถึงสี่ทุ่ม แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็ชื่นใจ เพราะกิจการโตวันโตคืน มีรายได้ถึงขั้นส่งลูกสามคนไปเรียนเมืองนอกได้สบาย”
แต่เหตุการณ์มาพลิกผัน เมื่อลูกชายคนที่สี่ คือ เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร เรียนจบระดับปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“เขามองเห็นรายได้ของครอบครัวเริ่มคงที่ เกษตรกรเริ่มมีรถขนส่งได้เองไม่ต้องอาศัยเรือไฟเหมือนในอดีต จึงอยากให้ครอบครัวเปลี่ยนจากขายมะพร้าวลูก มาทำกะทิพาสเจอไรซ์ ในที่สุดก็ตัดสินใจลงทุนไปประมาณ 3 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตกะทิชาวเกาะ พร้อมจ้างคนงานเกือบ 100 คน แต่พอลงมือทำก็ขาดทุน เพราะเป็นสินค้าใหม่ที่คนไม่กล้าซื้อ ยังชินกับการใช้กะทิสดอยู่
ผมใช้เวลาหลายปีกว่าผู้บริโภคจะยอมรับในสินค้า ช่วงแรกผมได้นำกะทิสำเร็จรูปไปให้ตามโรงแรมต่างๆ ได้ทดลองใช้ แต่ก็ไม่มีโรงแรมไหนยอมใช้ ยิ่งเขาปฏิเสธผมยิ่งต้องพยายาม ไม่ย่อท้อ จนสุดท้ายโรงแรมแรกที่ยอมใช้ ก็คือ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซึ่งต่อมาโรงแรมก็หันมาใช้กะทิบรรจุกล่องกัน นี่เป็นความสำเร็จของเราในเบื้องต้น”
เกรียงศักดิ์ใช้วิธีการให้ลูกค้าได้ทดลองประกอบอาหาร ทดสอบ และได้ชิมรสชาติที่ไม่แตกต่างไปจากใช้กะทิสด แถมได้รับความสะดวกสบาย ใช้เวลาทำก็น้อยลง ในที่สุดผลิตภัณฑ์ก็ถูกตอบรับกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบัน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 136 เมษายน 2555 โดย วิบูลย์ สุขใจ)