• ฌานสมาบัติ
ปุจฉา : การเข้าฌานสมาบัติ ทำจิตอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร และผู้ที่ตักบาตรกับพระที่ออกจากฌานสมาบัติจะได้อานิสงส์อย่างไร?
วิสัชนา : เราจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ฌาน” ก่อน ฌานตัวนี้ไม่ใช่นอกชาน ไม่ใช่ที่ไกล แต่มันเป็นเรื่องใกล้ๆ อยู่ในตัวเรา
ฌานตัวนี้แปลว่าตัวปัญญาหยั่งรู้ เพราะฉะนั้น พระที่เข้าฌานสมาบัติ คือพระที่มีปัญญาหยั่งรู้ อารมณ์จิตอย่างไร ก็อารมณ์จิตแห่งฌานปัญญา หยั่งรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ เรียกว่า พระผู้เข้าฌาน
ผู้ที่ทำบุญกับผู้ที่มีความรู้สภาวธรรมในขณะนั้นๆ ถือว่าจะได้รับอานิสงส์ปัญญาหยั่งรู้ไปด้วย ถือว่าจะได้รับอานิสงส์แห่งผลแห่งความดี ที่พระผู้เข้าฌานนั้นกำลังประพฤติปฏิบัติด้วย ถือว่าเป็นผลบุญอันใหญ่
• ศรัทธา
ปุจฉา : ศรัทธาหมายความว่าอย่างไร และทำอย่างไรถึงจะศรัทธาในตัวเองได้
วิสัชนา : ศรัทธามี 2 ประเภท คือ ถ้าเป็นศรัทธาอย่างชาวบ้านก็แปลว่าความเชื่อ คือเขาบอกยังไงก็เชื่อตามเขา แต่ถ้าเป็นศรัทธาอย่างพุทธ แปลว่า ปัญญาญาณหยั่งรู้
ศรัทธาที่ใช้ปัญญาญาณหยั่งรู้ นั่นก็คือ การวิเคราะห์ ให้การเปรียบเทียบ วิจารณ์พิจารณา เหมือนดังที่พระเจ้าปเสนทิโกศลถามพระพุทธเจ้าว่า พรหมณะทั้งหกที่เขาถือกันว่า เป็นพระอรหันต์ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิครนถนาฏบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุธกัจจายนะ อชิตเกสกัมพล มักขลิโคสาล ปูรณกัสสปะ เหล่านี้เป็นอรหันต์จริงหรือเปล่า
พระพุทธเจ้าบอกว่า “มหาบพิตร การที่พระองค์จะดูใครว่าเป็นอรหันต์ หมดกิเลสหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าเขาเป็นผู้บริโภคกามไหม ตกเป็นทาสของกามหรือเปล่า มีกามเป็นเจ้านายไหม แล้วมีกามเป็นที่อยู่อาศัย มีกามเป็นเครื่องไปเครื่องมา แสวงหาแต่กาม แสดงว่าจะหมดกามเป็นไปไม่ได้”
ส่วนคำถามที่ว่าทำอย่างไรถึงจะศรัทธาในตนเองได้นั้น ก็ต้องสร้าง 3 สิ่งนี้ให้เกิดขึ้น คือ การงานดี ตบะดี ปัญญาดี
การงานดี ก็คือ การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่ คำนึงถึงประโยชน์ภายในเป็นเกณฑ์ ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อพลี ทำเพื่ออุทิศให้เกิดประโยชน์ เรียกว่าการงานสะอาด การงานดี
ตบะดี ก็คือเราต้องรักษาใจเราให้เป็นหนึ่ง แนบแน่นสนิทจนกระทั่งไม่เกิดอารมณ์ ชนิดใดๆ ออกมา คือ สติ สมาธิ และตบะ
ปัญญา คือ ความใคร่ครวญ ไม่ว่าจะรู้อะไร ฟังอะไร ดูอะไร ดมอะไร และสัมผัสอะไร ต้องผ่านปัญญาการใคร่ครวญก่อนที่จะเชื่อ แต่ว่าถ้าไม่เชื่อแล้วปฏิเสธ นั่นก็ไม่ใช่ ต้องผ่านการวิจารณ์ตรวจสอบใคร่ครวญจนละเอียดถี่ถ้วน จึงยอมรับหรือปฏิเสธ
เมื่อเรามี 3 สิ่งนี้ คือ การงานดี ตบะดี ปัญญาดี ก็ถือว่าเราแก่กล้าและศรัทธาในตัวเรา
• ขับรถชนหมาตาย
ปุจฉา : เวลาเราขับรถไปเจอหมาข้ามถนน เบรครถไม่ทัน จึงชนหมาตาย อย่างนี้เรียกว่าขาดเมตตาหรือเปล่า แล้วเป็นบาปกรรมหรือไม่
วิสัชนา : ความเมตตาต้องไม่เลือกสัตว์ ไม่ใช่เฉพาะหมาอย่างเดียว เราต้องมีกับสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตและลมหายใจ จึงจะถือว่า เราเจริญเมตตาเป็นโพธิสัตว์ เป็นโพธิจิต เป็นจิตที่มีโพธิอยู่ในใจ แต่ถ้าเราจะเลือกเฉพาะหมาอย่างเดียวมันไม่ถูก อย่างนี้ผิด ไม่ใช่ยังมีพวกมีพ้องยังมีพี่มีน้อง เป็นการเจริญพวกพ้องอย่างนี้ไม่ถือว่าเมตตา รักและเห็นแก่พวกพ้องไม่ถือว่าเป็นความเมตตา เขาถือว่าเอาแต่พวกแต่พ้องของตน
เมตตามันต้องไม่มีประมาณ ไม่เลือกบุคคลเหล่ากอ สัญชาติ สี ดำ ขาว สูง ต่ำ เตี้ยทุกคนมีสิทธิ์ได้รับเมตตาของเรา นั่นถือว่าเป็นมหาเมตตาของพระโพธิสัตว์ เป็นเมตตาที่ถูกต้องของ
ศาสนา ถ้าเมตตาเฉพาะพวกพ้องของตน แต่ถ้าไม่ใช่พวกไม่ใช่พ้องแล้วไม่เมตตานั้น ถือว่าใช้ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ถือว่าเมตตา แต่เป็นการรักพวกรักพ้องเฉยๆ
อย่างเช่นพระพุทธเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงบรรลุอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ แทนที่พระองค์จะนึกถึงพ่อแม่ก่อน พระองค์กลับทรงนึกถึงสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่นั้นมากกว่าพวกของตนเอง เพราะพ่อแม่อยู่ในวัง มีกินมีนอนสบาย เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ใกล้จะถึงชีพิตักษัย (ตาย) แล้ว จึงจะไปโปรดเท่านั้น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 131 ตุลาคม 2554 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา : การเข้าฌานสมาบัติ ทำจิตอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร และผู้ที่ตักบาตรกับพระที่ออกจากฌานสมาบัติจะได้อานิสงส์อย่างไร?
วิสัชนา : เราจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ฌาน” ก่อน ฌานตัวนี้ไม่ใช่นอกชาน ไม่ใช่ที่ไกล แต่มันเป็นเรื่องใกล้ๆ อยู่ในตัวเรา
ฌานตัวนี้แปลว่าตัวปัญญาหยั่งรู้ เพราะฉะนั้น พระที่เข้าฌานสมาบัติ คือพระที่มีปัญญาหยั่งรู้ อารมณ์จิตอย่างไร ก็อารมณ์จิตแห่งฌานปัญญา หยั่งรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ เรียกว่า พระผู้เข้าฌาน
ผู้ที่ทำบุญกับผู้ที่มีความรู้สภาวธรรมในขณะนั้นๆ ถือว่าจะได้รับอานิสงส์ปัญญาหยั่งรู้ไปด้วย ถือว่าจะได้รับอานิสงส์แห่งผลแห่งความดี ที่พระผู้เข้าฌานนั้นกำลังประพฤติปฏิบัติด้วย ถือว่าเป็นผลบุญอันใหญ่
• ศรัทธา
ปุจฉา : ศรัทธาหมายความว่าอย่างไร และทำอย่างไรถึงจะศรัทธาในตัวเองได้
วิสัชนา : ศรัทธามี 2 ประเภท คือ ถ้าเป็นศรัทธาอย่างชาวบ้านก็แปลว่าความเชื่อ คือเขาบอกยังไงก็เชื่อตามเขา แต่ถ้าเป็นศรัทธาอย่างพุทธ แปลว่า ปัญญาญาณหยั่งรู้
ศรัทธาที่ใช้ปัญญาญาณหยั่งรู้ นั่นก็คือ การวิเคราะห์ ให้การเปรียบเทียบ วิจารณ์พิจารณา เหมือนดังที่พระเจ้าปเสนทิโกศลถามพระพุทธเจ้าว่า พรหมณะทั้งหกที่เขาถือกันว่า เป็นพระอรหันต์ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิครนถนาฏบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุธกัจจายนะ อชิตเกสกัมพล มักขลิโคสาล ปูรณกัสสปะ เหล่านี้เป็นอรหันต์จริงหรือเปล่า
พระพุทธเจ้าบอกว่า “มหาบพิตร การที่พระองค์จะดูใครว่าเป็นอรหันต์ หมดกิเลสหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าเขาเป็นผู้บริโภคกามไหม ตกเป็นทาสของกามหรือเปล่า มีกามเป็นเจ้านายไหม แล้วมีกามเป็นที่อยู่อาศัย มีกามเป็นเครื่องไปเครื่องมา แสวงหาแต่กาม แสดงว่าจะหมดกามเป็นไปไม่ได้”
ส่วนคำถามที่ว่าทำอย่างไรถึงจะศรัทธาในตนเองได้นั้น ก็ต้องสร้าง 3 สิ่งนี้ให้เกิดขึ้น คือ การงานดี ตบะดี ปัญญาดี
การงานดี ก็คือ การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่ คำนึงถึงประโยชน์ภายในเป็นเกณฑ์ ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อพลี ทำเพื่ออุทิศให้เกิดประโยชน์ เรียกว่าการงานสะอาด การงานดี
ตบะดี ก็คือเราต้องรักษาใจเราให้เป็นหนึ่ง แนบแน่นสนิทจนกระทั่งไม่เกิดอารมณ์ ชนิดใดๆ ออกมา คือ สติ สมาธิ และตบะ
ปัญญา คือ ความใคร่ครวญ ไม่ว่าจะรู้อะไร ฟังอะไร ดูอะไร ดมอะไร และสัมผัสอะไร ต้องผ่านปัญญาการใคร่ครวญก่อนที่จะเชื่อ แต่ว่าถ้าไม่เชื่อแล้วปฏิเสธ นั่นก็ไม่ใช่ ต้องผ่านการวิจารณ์ตรวจสอบใคร่ครวญจนละเอียดถี่ถ้วน จึงยอมรับหรือปฏิเสธ
เมื่อเรามี 3 สิ่งนี้ คือ การงานดี ตบะดี ปัญญาดี ก็ถือว่าเราแก่กล้าและศรัทธาในตัวเรา
• ขับรถชนหมาตาย
ปุจฉา : เวลาเราขับรถไปเจอหมาข้ามถนน เบรครถไม่ทัน จึงชนหมาตาย อย่างนี้เรียกว่าขาดเมตตาหรือเปล่า แล้วเป็นบาปกรรมหรือไม่
วิสัชนา : ความเมตตาต้องไม่เลือกสัตว์ ไม่ใช่เฉพาะหมาอย่างเดียว เราต้องมีกับสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตและลมหายใจ จึงจะถือว่า เราเจริญเมตตาเป็นโพธิสัตว์ เป็นโพธิจิต เป็นจิตที่มีโพธิอยู่ในใจ แต่ถ้าเราจะเลือกเฉพาะหมาอย่างเดียวมันไม่ถูก อย่างนี้ผิด ไม่ใช่ยังมีพวกมีพ้องยังมีพี่มีน้อง เป็นการเจริญพวกพ้องอย่างนี้ไม่ถือว่าเมตตา รักและเห็นแก่พวกพ้องไม่ถือว่าเป็นความเมตตา เขาถือว่าเอาแต่พวกแต่พ้องของตน
เมตตามันต้องไม่มีประมาณ ไม่เลือกบุคคลเหล่ากอ สัญชาติ สี ดำ ขาว สูง ต่ำ เตี้ยทุกคนมีสิทธิ์ได้รับเมตตาของเรา นั่นถือว่าเป็นมหาเมตตาของพระโพธิสัตว์ เป็นเมตตาที่ถูกต้องของ
ศาสนา ถ้าเมตตาเฉพาะพวกพ้องของตน แต่ถ้าไม่ใช่พวกไม่ใช่พ้องแล้วไม่เมตตานั้น ถือว่าใช้ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ถือว่าเมตตา แต่เป็นการรักพวกรักพ้องเฉยๆ
อย่างเช่นพระพุทธเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงบรรลุอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ แทนที่พระองค์จะนึกถึงพ่อแม่ก่อน พระองค์กลับทรงนึกถึงสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่นั้นมากกว่าพวกของตนเอง เพราะพ่อแม่อยู่ในวัง มีกินมีนอนสบาย เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ใกล้จะถึงชีพิตักษัย (ตาย) แล้ว จึงจะไปโปรดเท่านั้น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 131 ตุลาคม 2554 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)