ถอนอาลัยด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
เพราะฉะนั้น เมื่อยังถอนอาลัยไม่ได้ก็ยังถอนความทุกข์ทั้งปวงไม่ได้ เมื่อประสงค์จะถอนความทุกข์ทั้งปวงก็ต้องถอนอาลัย ทำลายอาลัยนี้ให้สิ้นไปโดยลำดับ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา การถอนโดยลำดับนี้ก็เป็นการที่ทำให้พบความพ้นทุกข์ไปได้โดยเช่นเดียวกัน
อาลัยอย่างหยาบย่อมจะทำให้ละเมิดศีล เมื่อละอาลัยอย่างหยาบได้ก็รักษาศีลได้
อาลัยอย่างกลางก็ทำให้ใจไม่เป็นสมาธิ เพราะเมื่อใจหมกหมุ่นอยู่ในอาลัยต่างๆ คือในสิ่งที่ผูกพันใจ อันหมาย ความว่า เมื่อจิตใจนี้ยังอยู่ในอาลัย ก็มาอยู่ในอารมณ์ของสมาธิไม่ได้ เมื่อจิตใจออกจากอาลัยได้จึงจะมาอยู่ในอารมณ์ของสมาธิได้ คือ เมื่อจิตใจนี้อยู่กับอารมณ์มีรูป เสียง เป็นต้น ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเหล่านี้ เรื่องรูปบ้าง เรื่องเสียงบ้าง ที่เป็นบุคคลบ้าง เป็นวัตถุบ้าง เป็นการงานบ้าง ฉะนั้น ก็ชื่อว่ายังมีเรื่องเหล่านั้นเป็นอาลัย คืออยู่กับเรื่องเหล่านั้น มีความสุขความพอใจอยู่กับเรื่องเหล่านั้น ครั้นพรากใจออกมาจากเรื่องเหล่านั้นเข้ามาสู่อารมณ์ของสมาธิ จิตใจก็จะอยู่ไม่ได้ จะต้องวิ่งกลับไปหาอาลัย
ฉะนั้น ท่านจึงมีเปรียบเทียบเหมือนอย่างว่า ปลาที่อยู่ในน้ำ เมื่อจับขึ้นจากน้ำมาวางไว้บนบก ปลาก็จะดิ้นเพื่อจะลงน้ำฉันใดก็ดี เมื่อนำจิตออกจากอาลัยมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็จะดิ้นกลับไปสู่อาลัย
ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ความเพียร ใช้สตินำจิตมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิใหม่ จนจิตได้ความสุขจากสมาธิขึ้นบ้าง จิตจึงจะมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิดีขึ้น ก็แสดงว่าจะต้องกำจัดอาลัยอย่างกลาง สงบอาลัยอย่างกลาง จึงจะทำสมาธิได้
อาลัยอย่างละเอียดก็คือตัณหาอุปาทานนั้นเอง โดยเฉพาะตัณหาอุปาทานนี้ก็เป็นความอยากเป็นความยึด อยู่ในขันธ์ที่เป็นที่ยึดถือทั้งห้าประการนี้ คือในกายและใจของทุกๆ คน ฉะนั้น จึงมีความอยากยึดอยู่ในขันธ์อันเป็น ที่ยึดถือทั้งห้านี้ หรือในนามรูป หรือว่ากายใจอันนี้
ฉะนั้น เมื่ออบรมปัญญาที่ตรัสให้พิจารณาให้เห็นลักษณะคือเครื่องกำหนดหมายอันแท้จริงของขันธ์ห้า ว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งเกิดดับ เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้
เมื่อพิจารณาดังนี้ ตัณหาอุปาทานก็จะแย้งอยู่เสมอว่า ที่ว่าไม่เที่ยงนั้นก็รู้สึกอยู่ว่าเที่ยง ที่ว่าเป็นทุกข์นั้นก็รู้สึกอยู่ว่าสุข ที่ว่าเป็นอนัตตานั้นก็รู้สึกว่าเป็นอัตตาตัวตน เมื่อเป็นดังนี้ก็แปลว่าปัญญายังไม่เกิด เพราะว่ายังอาศัยอยู่กับอาลัยอย่างละเอียดก็คือตัณหาอุปาทานนั้นเอง ประกอบด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงยังเห็นยืนยันอยู่ว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาคือตัวตน นี่แหละเป็นอาลัยอย่างละเอียดซึ่งยากที่จะถอนได้
แต่เมื่ออาศัยใช้ปัญญาพิจารณาอยู่บ่อยๆ ในเบื้องต้นก็ตามสัญญา คือความกำหนดหมาย ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และกำหนดหมายลงดูที่ขันธ์ห้าหรือว่านามรูปอันนี้ เมื่อกำหนดดูอยู่บ่อยๆ ดังนี้ อาการที่ไม่เที่ยงของขันธ์ห้า อันปรากฏอยู่เป็นประจำ ก็ย่อมจะปรากฏให้เห็น อาการที่เป็นทุกข์ของขันธ์ห้า ก็จะปรากฏให้เห็น อาการที่เป็นอนัตตาของขันธ์ห้า ก็จะปรากฏให้เห็น เพราะเป็นอาการที่มีอยู่ที่เป็นไปอยู่ทุกขณะอันไม่อาจจะปกปิดได้ อาการที่ไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงอย่างเปิดเผยไม่ใช่ปกปิด ดังจะพึงเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับอยู่เป็นธรรมดา เมื่อเกิดดับก็มองเห็น ไม่ใช่เกิดดับอย่างปกปิด อาการที่เป็นทุกข์ต่างๆ ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ ก็เป็นทุกข์อย่างปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ปกปิด อาการที่เป็นอนัตตา เอาจำเพาะข้อเดียวว่าบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ ก็เปิดเผยให้เห็นว่าบังคับไม่ได้ตามปรารถนาไม่ปกปิด
ดังจะพึงเห็นได้ว่าความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตานี้ได้มีอยู่แก่ตนเองด้วย ได้มีอยู่แก่บุคคลผู้อื่นด้วยทุกคน ไม่มียกเว้น และมีอยู่เป็นอันมาก ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาที่ปรากฏเป็นความแก่ความเจ็บความตายก็ปรากฏ แก่ทุกๆ คนและทุกๆ เวลา เป็นสิ่งที่มองเห็นกันอยู่
เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาจึงเป็นลักษณะที่เปิดเผยไม่ซ่อนเร้นอยู่อย่างใดทั้งสิ้น และปรากฏอยู่ทุกขณะ แต่การที่ไม่มองเห็นนั้นก็เพราะยังมีเครื่องปิดบัง คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในจิตใจนั้นเอง อันทำให้มีตามืดมัว มองไม่เห็นหรือมองเห็นผิดไปเป็นอย่างอื่น
ฉะนั้น เมื่อหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ อาศัยสัญญาอยู่เป็นเบื้องต้น กำหนดทำอนิจจสัญญา กำหนดหมายว่าไม่เที่ยง ทุกขสัญญา กำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา กำหนดหมายว่ามิใช่ตัวตน ในขันธ์ห้านี้ หรือรวมในนามรูปนี้ หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้ว อาการที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาจะปรากฏขึ้นโดยลำดับ
เพราะว่าเมื่อปฏิบัติดังนี้เป็นการอบรมปัญญาอยู่เนืองๆ เช่นนี้แล้ว ดวงตาที่เคยมืดมัวนั้นก็จะสว่างขึ้น เพราะการปฏิบัติดังนี้เป็นการอบรมปัญญา สร้างดวงตาปัญญาหรือว่าล้างตาที่มืดมัวนั้น หรือว่ารักษาตาที่มืดมัวนั้นให้ดีขึ้น ก็จะมองเห็นขึ้นโดยลำดับ
เมื่อเป็นดังนี้แล้วก็จะถอนตนออกจากอาลัย คือความ ยึดถือออกได้โดยลำดับ และเมื่อถอนออกมาได้เพียงใด ก็จะพบกับความพ้นทุกข์ได้เพียงนั้น อันนี้แหละเรียกว่า อาลยสมุคฺฆาตธรรม คือธรรมที่เป็นเครื่องถอนเป็นเครื่องทำลายอาลัย และถอนได้แม้เพียงขั้นที่ปฏิบัติอบรมศีลสมาธิปัญญาสามัญ ยังให้เกิดสุขพ้นความทุกข์ได้เพียงนี้ ถ้าหากว่าถอนให้หมดสิ้นจะเป็นความสงบอันเป็นความสุขเพียงไหน
ฉะนั้น หมั่นระลึกถึงธรรมอันเป็นที่ถอนเป็นที่ทำลายอาลัยอยู่เสมอ ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติทำอุปสมานุสสติ ระลึกถึงธรรมอันเป็นที่สงบระงับหรือสันติอีกข้อหนึ่ง ทำใจให้มีความผาสุกสงบ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 128 กรกฎาคม 2554 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
เพราะฉะนั้น เมื่อยังถอนอาลัยไม่ได้ก็ยังถอนความทุกข์ทั้งปวงไม่ได้ เมื่อประสงค์จะถอนความทุกข์ทั้งปวงก็ต้องถอนอาลัย ทำลายอาลัยนี้ให้สิ้นไปโดยลำดับ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา การถอนโดยลำดับนี้ก็เป็นการที่ทำให้พบความพ้นทุกข์ไปได้โดยเช่นเดียวกัน
อาลัยอย่างหยาบย่อมจะทำให้ละเมิดศีล เมื่อละอาลัยอย่างหยาบได้ก็รักษาศีลได้
อาลัยอย่างกลางก็ทำให้ใจไม่เป็นสมาธิ เพราะเมื่อใจหมกหมุ่นอยู่ในอาลัยต่างๆ คือในสิ่งที่ผูกพันใจ อันหมาย ความว่า เมื่อจิตใจนี้ยังอยู่ในอาลัย ก็มาอยู่ในอารมณ์ของสมาธิไม่ได้ เมื่อจิตใจออกจากอาลัยได้จึงจะมาอยู่ในอารมณ์ของสมาธิได้ คือ เมื่อจิตใจนี้อยู่กับอารมณ์มีรูป เสียง เป็นต้น ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเหล่านี้ เรื่องรูปบ้าง เรื่องเสียงบ้าง ที่เป็นบุคคลบ้าง เป็นวัตถุบ้าง เป็นการงานบ้าง ฉะนั้น ก็ชื่อว่ายังมีเรื่องเหล่านั้นเป็นอาลัย คืออยู่กับเรื่องเหล่านั้น มีความสุขความพอใจอยู่กับเรื่องเหล่านั้น ครั้นพรากใจออกมาจากเรื่องเหล่านั้นเข้ามาสู่อารมณ์ของสมาธิ จิตใจก็จะอยู่ไม่ได้ จะต้องวิ่งกลับไปหาอาลัย
ฉะนั้น ท่านจึงมีเปรียบเทียบเหมือนอย่างว่า ปลาที่อยู่ในน้ำ เมื่อจับขึ้นจากน้ำมาวางไว้บนบก ปลาก็จะดิ้นเพื่อจะลงน้ำฉันใดก็ดี เมื่อนำจิตออกจากอาลัยมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็จะดิ้นกลับไปสู่อาลัย
ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ความเพียร ใช้สตินำจิตมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิใหม่ จนจิตได้ความสุขจากสมาธิขึ้นบ้าง จิตจึงจะมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิดีขึ้น ก็แสดงว่าจะต้องกำจัดอาลัยอย่างกลาง สงบอาลัยอย่างกลาง จึงจะทำสมาธิได้
อาลัยอย่างละเอียดก็คือตัณหาอุปาทานนั้นเอง โดยเฉพาะตัณหาอุปาทานนี้ก็เป็นความอยากเป็นความยึด อยู่ในขันธ์ที่เป็นที่ยึดถือทั้งห้าประการนี้ คือในกายและใจของทุกๆ คน ฉะนั้น จึงมีความอยากยึดอยู่ในขันธ์อันเป็น ที่ยึดถือทั้งห้านี้ หรือในนามรูป หรือว่ากายใจอันนี้
ฉะนั้น เมื่ออบรมปัญญาที่ตรัสให้พิจารณาให้เห็นลักษณะคือเครื่องกำหนดหมายอันแท้จริงของขันธ์ห้า ว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งเกิดดับ เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้
เมื่อพิจารณาดังนี้ ตัณหาอุปาทานก็จะแย้งอยู่เสมอว่า ที่ว่าไม่เที่ยงนั้นก็รู้สึกอยู่ว่าเที่ยง ที่ว่าเป็นทุกข์นั้นก็รู้สึกอยู่ว่าสุข ที่ว่าเป็นอนัตตานั้นก็รู้สึกว่าเป็นอัตตาตัวตน เมื่อเป็นดังนี้ก็แปลว่าปัญญายังไม่เกิด เพราะว่ายังอาศัยอยู่กับอาลัยอย่างละเอียดก็คือตัณหาอุปาทานนั้นเอง ประกอบด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงยังเห็นยืนยันอยู่ว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาคือตัวตน นี่แหละเป็นอาลัยอย่างละเอียดซึ่งยากที่จะถอนได้
แต่เมื่ออาศัยใช้ปัญญาพิจารณาอยู่บ่อยๆ ในเบื้องต้นก็ตามสัญญา คือความกำหนดหมาย ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และกำหนดหมายลงดูที่ขันธ์ห้าหรือว่านามรูปอันนี้ เมื่อกำหนดดูอยู่บ่อยๆ ดังนี้ อาการที่ไม่เที่ยงของขันธ์ห้า อันปรากฏอยู่เป็นประจำ ก็ย่อมจะปรากฏให้เห็น อาการที่เป็นทุกข์ของขันธ์ห้า ก็จะปรากฏให้เห็น อาการที่เป็นอนัตตาของขันธ์ห้า ก็จะปรากฏให้เห็น เพราะเป็นอาการที่มีอยู่ที่เป็นไปอยู่ทุกขณะอันไม่อาจจะปกปิดได้ อาการที่ไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงอย่างเปิดเผยไม่ใช่ปกปิด ดังจะพึงเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับอยู่เป็นธรรมดา เมื่อเกิดดับก็มองเห็น ไม่ใช่เกิดดับอย่างปกปิด อาการที่เป็นทุกข์ต่างๆ ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ ก็เป็นทุกข์อย่างปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ปกปิด อาการที่เป็นอนัตตา เอาจำเพาะข้อเดียวว่าบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ ก็เปิดเผยให้เห็นว่าบังคับไม่ได้ตามปรารถนาไม่ปกปิด
ดังจะพึงเห็นได้ว่าความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตานี้ได้มีอยู่แก่ตนเองด้วย ได้มีอยู่แก่บุคคลผู้อื่นด้วยทุกคน ไม่มียกเว้น และมีอยู่เป็นอันมาก ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาที่ปรากฏเป็นความแก่ความเจ็บความตายก็ปรากฏ แก่ทุกๆ คนและทุกๆ เวลา เป็นสิ่งที่มองเห็นกันอยู่
เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาจึงเป็นลักษณะที่เปิดเผยไม่ซ่อนเร้นอยู่อย่างใดทั้งสิ้น และปรากฏอยู่ทุกขณะ แต่การที่ไม่มองเห็นนั้นก็เพราะยังมีเครื่องปิดบัง คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในจิตใจนั้นเอง อันทำให้มีตามืดมัว มองไม่เห็นหรือมองเห็นผิดไปเป็นอย่างอื่น
ฉะนั้น เมื่อหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ อาศัยสัญญาอยู่เป็นเบื้องต้น กำหนดทำอนิจจสัญญา กำหนดหมายว่าไม่เที่ยง ทุกขสัญญา กำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา กำหนดหมายว่ามิใช่ตัวตน ในขันธ์ห้านี้ หรือรวมในนามรูปนี้ หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้ว อาการที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาจะปรากฏขึ้นโดยลำดับ
เพราะว่าเมื่อปฏิบัติดังนี้เป็นการอบรมปัญญาอยู่เนืองๆ เช่นนี้แล้ว ดวงตาที่เคยมืดมัวนั้นก็จะสว่างขึ้น เพราะการปฏิบัติดังนี้เป็นการอบรมปัญญา สร้างดวงตาปัญญาหรือว่าล้างตาที่มืดมัวนั้น หรือว่ารักษาตาที่มืดมัวนั้นให้ดีขึ้น ก็จะมองเห็นขึ้นโดยลำดับ
เมื่อเป็นดังนี้แล้วก็จะถอนตนออกจากอาลัย คือความ ยึดถือออกได้โดยลำดับ และเมื่อถอนออกมาได้เพียงใด ก็จะพบกับความพ้นทุกข์ได้เพียงนั้น อันนี้แหละเรียกว่า อาลยสมุคฺฆาตธรรม คือธรรมที่เป็นเครื่องถอนเป็นเครื่องทำลายอาลัย และถอนได้แม้เพียงขั้นที่ปฏิบัติอบรมศีลสมาธิปัญญาสามัญ ยังให้เกิดสุขพ้นความทุกข์ได้เพียงนี้ ถ้าหากว่าถอนให้หมดสิ้นจะเป็นความสงบอันเป็นความสุขเพียงไหน
ฉะนั้น หมั่นระลึกถึงธรรมอันเป็นที่ถอนเป็นที่ทำลายอาลัยอยู่เสมอ ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติทำอุปสมานุสสติ ระลึกถึงธรรมอันเป็นที่สงบระงับหรือสันติอีกข้อหนึ่ง ทำใจให้มีความผาสุกสงบ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 128 กรกฎาคม 2554 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)