xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


• วิจัยพบ "ตะขบ"
แคลเซียม-โพแทสเซียมสูง


นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการ ดำเนินการศึกษาวิจัย เรื่อง “ปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้” โดยการเก็บตัวอย่างผลไม้จำนวน 30 ตัวอย่าง มาวิเคราะห์ใน 2 ส่วน คือ 1. วิเคราะห์น้ำตาลและน้ำ 2. วิเคราะห์ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุ ผลการศึกษาพบว่า ผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94 กรัม มีใยอาหาร 0.5-6.3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18 กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี ผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ตะขบ 6.3 กรัม ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม ลิ้นจี่จักรพรรดิ 13 กรัม สละ 13 กรัม และองุ่นแดง (ลูกใหญ่) 13 กรัม และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่ เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม ลูกหว้า 5 กรัม ลูกตาลอ่อน 5 กรัม ราสเบอร์รี 6 กรัม และแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม ผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบตะขบและมะม่วงเขียวเสวย (ดิบ) มีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่นคือมี 97 และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม

สำหรับปริมาณแร่ธาตุ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในผลไม้ 100 กรัม พบว่า มีโพแทสเซียม 106-773 มิลลิกรัม โซเดียม 0.7-19.8 มิลลิกรัม แคลเซียม 0.3-108 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 0-60.7 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ตะขบ 773 มิลลิกรัม เชอรี่นอก 486 มิลลิกรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 381 มิลลิกรัม และน้ำมะพร้าวอ่อน 330 มิลลิกรัม ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมสูง คือ ลูกท้อสด 19.8 มิลลิกรัม ราสเบอร์รี 16.7 มิลลิกรัม ตะขบ 12.8 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง คือ ตะขบ 108 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสสูง คือ ลูกหว้า 60.7 มิลลิกรัม ตะขบ 51.7 มิลลิกรัม

“การศึกษาครั้งนี้พบ ตะขบ ฝรั่ง และ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่ และ องุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวังหรือต้องห้าม สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้กินเนื้อมะพร้าวอ่อน หรือลูกตาลอ่อน เพราะมีน้ำตาลน้อย ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อยจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ขณะที่ปริมาณโพแทสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่พบ ซึ่งหากมีมาก อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได้ รวมทั้งการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว

• ดื่มน้ำผลไม้ 100%
ได้สารอาหารเพิ่ม


นักวิจัยแห่ง The Louisiana State University Agricultural Center และ Baylor College of Medicine เปิดเผยว่า ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้จะมีระดับของสารอาหารที่สำคัญเพียงพอสำหรับร่างกาย มากกว่าผู้ที่ไม่ได้บริโภค

การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศที่มีอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป พบว่าการดื่มน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้มีแนวโน้มที่จะมีระดับของสารอาหารหลายชนิดที่ร่างกายควรได้รับ เช่น วิตามินเอ ซี และแมกนีเซียม ต่ำกว่าระดับที่กำหนด

นอกจากนี้ การดื่มน้ำผลไม้ที่มีเปอร์เซนต์ของน้ำผลไม้ยิ่งสูง ร่างกายจะยิ่งมีระดับของแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงกว่าที่กำหนดไว้ในคำแนะนำที่บ่งชี้ถึงระดับของสารอาหารที่ร่างกายควรจะได้รับ ซึ่งแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้มีความสำคัญในการช่วยให้กระดูกแข็งแรงและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ

• ปรุงบร็อคโคลี่อย่างไร
ได้คุณค่ามากที่สุด


อลิซาเบท เจฟเฟอร์รี่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอย สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการกินบร็อคโคลี่กับการต้านโรคมะเร็ง โดยเฉพาะหน่อหรือต้นอ่อนของบร็อคโคลี่ เมื่อกินคู่กับบร็อคโคลี่จะทำให้สามารถต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเกือบ 2 เท่า เพราะบร็อคโคลี่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน เส้นใยอาหาร วิตามินซี รวมไปถึงสารอาหารต่างๆอีกหลากหลายชนิด รวมทั้งสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้ตับขับสารพิษ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญของเนื้องอก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษในการต่อต้านมะเร็ง คือสามารถป้องกันอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ส่วนหน่อหรือต้นอ่อนของบร็อคโคลี่นั้นมีเอนไซม์ไมโรซิเนส (myrosinase) ในปริมาณมากกว่าบร็อคโคลี่ต้นที่โตแล้ว

สำหรับการกินบร็อคโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการต้านมะเร็งมากที่สุดนั้น นักวิจัยแนะนำว่า การลวกบร็อคโคลี่ 2-4 นาทีเป็น การปรุงที่ดีที่สุด เพื่อรักษาคุณค่าสารอาหารในผักชนิดนี้ และการกิน 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

•ใช้ชีวิตเรียบง่าย
ช่วยห่างไกลมะเร็ง


สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐ และองค์การมะเร็งโลกเปิดเผยว่า การใช้ชีวิตเรียบง่ายสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมในอังกฤษ อเมริกาได้ราว 40% อีกทั้งยังสามารถป้องกันมะเร็งอื่นๆ อาทิ มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก

มาร์ติน ไวส์แมน ผู้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ประจำองค์การมะเร็งโลกกล่าวว่า “เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งว่า ในปี 2011แล้ว ผู้คนก็ยังต้องเสียชีวิตจากมะเร็ง ทั้งที่สามารถป้องกันได้ โดยการรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกาย และปรับปัจจัยอื่นๆ ในชีวิต”

งานวิจัยขององค์การมะเร็ง ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกพบว่า การออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอ สามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้มากกมาย อาทิ มะเร็ง โรคหัวใจและเบาหวาน นอกจากนั้นยังแนะนำว่า ควรออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที โดยอาจปั่นจักรยานวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์

และการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรคร้ายต่างๆได้

• อารมณ์ดี... ทำให้อายุยืน

แอนโธนี ออง (Anthony Ong) จากมหาวิทยาลัยคอแนล กล่าวถึงการศึกษาวิจัยของเขาว่า การมีอารมณ์ดีอาจช่วยลดความเครียด ความเจ็บป่วย และโรคร้ายต่างๆ อารมณ์ดีนั้นมา จากลักษณะมุมมองที่หลากหลายที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพที่ดี เช่น บางคนมีความสุขจากการที่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ และมีความสุขในช่วงก่อนนอน แต่หลายคนกลับมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง ประโยชน์จากการมีความสุขหรือมีอารมณ์ที่ดีนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตของเรา

มุมมองดีๆสามารถต่อสู้กับความ เครียดและหลากหลายโรค จากการศึกษาวิจัยพบว่าการมีอารมณ์ดีมากๆ นั้นช่วยลด ระดับของสารเคมีภายในร่างกายที่ก่อให้เกิดความเครียด และส่งผลต่อสุขภาพที่ดี ซึ่งส่งผลให้มีอายุยืนยาวขึ้นได้

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย ธาราทิพย์)



กำลังโหลดความคิดเห็น