พระพุทธรูปปางทรงพยากรณ์ เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถบรรทมตะแคงขวา ลืมพระเนตร พระเศียรหนุนพระเขนย(หมอน) พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระวรกาย ส่วนพระหัตถ์ขวายกขึ้นประทับที่พระอุทร(ท้อง)
ปางนี้มีที่มาจากพุทธประวัติที่ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ดังนี้
ยามเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จไปยังเมืองกุสินารา และเมื่อถึงป่าสาลวันพระพุทธองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงทรงรับสั่งกับพระอานนท์ให้ตั้งเตียงระหว่างไม้สาละ โดยให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร พระอานนท์ทูลรับพระดำรัส แล้วดำเนินการจนเรียบร้อย
หลังจากพระผู้มีพระภาคได้ขึ้นบรรทมแล้ว ทรงรับสั่งกับพระอานนท์ว่า “ดูกรอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ ออกดอกบานสพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่าก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาตถาคต
ดูกรอานนท์ ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพนับถือ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอด เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี้ ฯ”
พระอานนท์ฟังพระดำรัสแล้ว ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก จึงแอบไปยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ร้องไห้รำพันว่า “เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสียแล้ว” เมื่อพระผู้มีพระภาคไม่เห็นพระอานนท์ จึงได้ตรัสถามแก่ภิกษุ จนได้ความว่า พระอานนท์ แอบไปยืนร้องไห้ด้วยความอาลัย จึงทรงรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งไปตามพระอานนท์มา ครั้นพระอานนท์ทราบความแล้ว จึงได้เข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์จึงทรงมีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ดูกรอานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคต ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลันฯ”
ในที่สุดพระอานนท์ก็บรรลุอรหัตผลก่อนวันทำปฐมสังคายนาเพียงหนึ่งวัน ตามที่ได้ทรงพยากรณ์ไว้
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย กานต์ธีรา)