xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๖๔ กลุ่มพระชาวแคว้นสักกะ (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วาจานุสรณ์ (ต่อ)

พระอานนท์ ได้กล่าวถ้อยคำไว้ตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับพระอนุรุทธะ พระสังคีตีกาจารย์ได้รวบรวมไว้ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวต่อไปนี้

คนพูดจายุแหย่ มักโกรธ ตระหนี่ และคิดแต่ให้คนอื่นพินาศ
ไม่มีคนฉลาดคนใดเขาคบด้วยหรอก
เพราะการคบกับคนเลว จะทำให้เลวไปด้วย
แต่คนฉลาดเขาจะคบกับคนที่มีศรัทธา มีศีล
มีปัญญา และมีการศึกษามามาก
เพราะการคบกับคนดี มีแต่จะทำให้เจริญรุ่งเรือง


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้เป็นการเตือนพระฉัพพัคคีย์ คือพระอัสสชิ พระปุนัพพสุกะ พระเมตติยะ พระภุมมชกะ พระปัณฑุกะ และพระโลหิตกะ ในโอกาสที่เห็นพระเหล่านั้นไปคลุกคลีอยู่กับพวกพระที่เป็นฝ่ายพระเทวทัต

ดูซี่ ดูร่างกายที่มีกระดูก ๓๐๐ ท่อนเป็นโครงร่าง
ถูกตบแต่งให้สวยงาม แต่ก็มีแผลอยู่ทั่ว ช่างน่ารังเกียจ
แต่คนโง่จำนวนมากก็ยังอยากได้ มันช่างไม่มีความยั่งยืนเอาเสียเลย
ดูซี่ ดูร่างกายที่ถูกตบแต่งให้สวยงามด้วยแก้วมณี และต่างหู
แต่ส่วนลึกแล้วคือหนังหุ้มกระดูกที่งดงาม อยู่ได้ด้วยเครื่องพัสตราภรณ์
ดูซี่ ดูเจ้าของร่าง หล่อนมีเท้าลูบไล้ด้วยเครื่องน้ำครั่ง
มีหน้านวลเนียน เนื่องจากลูบไล้ด้วยจุรณ์จันทน์
จึงดูสวยงามพอที่จะหลอกให้คนโง่หลงได้
แต่จะให้คนที่แสวงหานิพพานหลงนั้น ไม่มีทางสำเร็จหรอก
เส้นผมของหล่อนเป็นลอนคล้ายกระดานหมากรุก
ดวงตาหยาดเยิ้มด้วยยาหยอด
จึงดูสวยงามพอที่จะหลอกให้คนโง่หลงได้
แต่จะให้คนที่แสวงหานิพพานหลงนั้น ไม่มีทางสำเร็จหรอก
กล่องยาหยอดตาใหม่มีลวดลายสวยงาม
ก็เหมือนกับร่างกายที่เน่าใน แต่ภายนอกถูกตกแต่งให้สวยงาม
พอที่จะหลอกคนโง่ให้หลงได้
แต่จะให้คนที่แสวงหานิพพานหลงนั้น ไม่มีทางสำเร็จหรอก


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เตือนพระทั้งหลายที่หลงใหลในรูปโฉมของนางอุตตรา ผู้เป็นหญิงนครโสภิณี แห่งแคว้นมคธ

พระอานนท์ผู้โคตมะโคตร ศึกษามามาก
พูดจาไพเราะ ถวายการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า (มานาน)
บัดนี้ หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเกี่ยวเกาะทั้งมวล
ปลงภาระได้แล้ว จะขอนอน


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เป็นเชิงอุทานหลังจากได้บรรลุอรหัตผลแล้ว พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า ครั้นบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านก็นอนพักผ่อนทันที เนื่อง จากคร่ำเคร่งอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพื่อให้บรรลุอรหัตผลเกือบตลอดทั้งคืน อีกทั้งในวันรุ่งขึ้นท่านยังจะต้องเข้าร่วมงานสำคัญ คือ การทำปฐมสังคายนา

ทั่วทุกทิศดูมืดมัว ธรรมทั้งหลายไม่แจ่มแจ้งแก่เรา
คราวที่พระสารีบุตรผู้เป็นกัลยาณมิตรจากไป
โลกทั้งโลกดูเหมือนจะมืดมิด


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ด้วยความอาลัยรักในพระสารีบุตร เมื่อได้ทราบว่าพระสารีบุตรนิพพานแล้ว พระเถระมิได้ถือว่าพระสารีบุตรเป็นกัลยาณมิตรแต่เฉพาะกับท่านเท่านั้น แต่ยังเป็นกัลยาณมิตรของคนทั่วไป รวมทั้งเทวดาด้วย

ภิกษุผู้มีกัลยาณมิตรล่วงลับไป
และมีพระศาสดานิพพานไปแล้ว
ย่อมไม่มีใครหรืออะไรมาเป็นมิตรที่ดีได้เท่ากายคตาสติ
มิตรเก่าพากันล่วงลับไปแล้ว
จิตของเราไม่ยินดีจะสมาคมกับมิตรใหม่
วันนี้เราจะเพ่งพินิจธรรมอยู่คนเดียว
ให้เหมือนนกที่อยู่ในรังยามฝนตก


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้เพื่อยกย่องการเจริญกายคตาสติ ว่ามีค่าเท่ากับกัลยาณมิตร เพราะท่านบรรลุอรหัตผลได้ด้วยการเจริญกายคตาสติ ดังนั้น เมื่อมิตรเก่าอย่างพระสารีบุตรนิพพานไปก่อน ท่านก็ไม่แสวงหามิตรใหม่เนื่องจากวัยต่างกัน ท่านจึงอยู่คนเดียวด้วยการเจริญกายคตาสตินั้น

เราตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมือนเงา
ติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี
ตลอดเวลาเท่านี้ เราอุปัฏฐากพระองค์ด้วย
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้แสดงถึงความรักความผูกพันในพระพุทธเจ้า พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า พระเถระแสดงเมตตากายกรรมให้ปรากฏ ด้วยการทำความสะอาดพระคันธกุฎีที่ประทับและทำการรับใช้ต่างๆ แสดงเมตตาวจีกรรมให้ปรากฏ ด้วยการพูดเชิญเสด็จทูลบอกเวลาแสดงธรรม และทูลบอกเรื่องราวต่างๆ ที่มีผู้มาติดต่อ แสดงเมตตามโนกรรมให้ปรากฏ ด้วยการคิดที่จะถวายการอุปัฏฐากให้พระพุทธเจ้าทรงสำราญ

คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น ได้มีสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้น ทำให้ขนชูชัน


พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้นเอง เนื่องจากทันทีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้เกิดมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นต่างๆ อาทิ เกิดแผ่นดินไหว ดนตรีทิพย์บรรเลงลั่น ซึ่งล้วนแต่ชวนให้น่าสะ-พรึงกลัวสำหรับบุคคลทั่วไป

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 112 มีนาคม 2553 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น