xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๖๑ กลุ่มพระชาวแคว้นสักกะ (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอตทัคคะ-อดีตชาติ (ต่อ)
พระสีวลี ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมกับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีลาภมาก แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์คล้ายๆกับพระอสีติมหาสาวกรูปอื่นๆ คือในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า ท่านจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีลาภมาก

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นคนบ้านนอก อยู่ไม่ไกลจากเมืองพันธุมดี วันหนึ่งได้เข้าร่วมกับพวกชาวเมืองถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก โดยท่านได้บริจาครวงผึ้งชนิดที่ไม่มีตัวและเนยแข็งเข้าโรงครัว ซึ่งผลปรากฏว่ารวงผึ้งกับเนยแข็งของท่านนั้น เป็นส่วนที่ทำให้งานบุญครั้งนี้สมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากของ ๒ สิ่งนี้กำลังเป็นที่ต้องการในการจัดเตรียมอาหาร

ความจริงแล้ว วันนั้นท่านเป็นคนบ้านนอกเพียงคนเดียว ที่ได้มีส่วนร่วมในงานบุญครั้งนี้ เนื่องจากมีสิ่งที่ชาว เมืองต้องการ คือรวงผึ้งและเนยแข็งดังกล่าว เดิมทีเดียวพวกชาวเมืองต้องการซื้อ แต่เมื่อท่านทราบว่าจะนำไปถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวก จึงไม่ยอมขาย แต่ขอมีส่วนร่วมในงานบุญครั้งนี้ด้วย โดยขอถวายน้ำผึ้งจากรวงที่ตนนำมาพร้อมกับเนยแข็งด้วยมือตนเอง ซึ่งพวกชาวเมืองก็ตกลง
เมื่อตกลงกันได้ดังนี้ ท่านก็แสดงฝีมือในการปรุงอาหาร ด้วยการซื้อเม็ดดีปลีมาบดใส่ลงในเนยแข็งแล้ว กวนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็บีบน้ำผึ้งผสม ครั้นได้ที่แล้วจึงใส่ลงในใบบัว แล้วนำไปยังที่ที่จะถวายทาน เมื่อถึงเวลาพวกชาวเมืองต่างเข้าถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระ สาวกด้วยมือตนเองอย่างเป็นระเบียบ ท่านได้ทำอย่างนั้นบ้างเมื่อถึงวาระของตน โดยเริ่มต้นถวายพระพุทธเจ้าก่อน แต่ก่อนที่จะถวายนั้นท่านได้กราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เป็นคนยากจน มาจากบ้านนอก ของถวายมีอยู่เพียงสิ่งนี้เท่านั้น ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับเครื่องบรรณาการของคนยากนี้ด้วยเถิด”

พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรดูชายบ้านนอกด้วยพระเนตรที่ฉายแววพระกรุณา ทรงรับน้ำผึ้งผสมเนยแข็งกับเม็ดดีปลีแล้ว ทรงอธิษฐานให้น้ำผึ้งนั้นมีพอถวายพระได้ทั่วถึง ด้วยพระฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า ผลปรากฎว่าน้ำผึ้งผสมเนยแข็งกับเม็ดดีปลีของชายบ้านนอกนั้นมีมากพอถวายพระได้ทั่วถึง
พระพุทธเจ้าวิปัสสีทรงทราบดีว่าชายบ้านนอกนั้นเป็นใคร มีอดีตชาติและอนาคตชาติเป็นเช่นไร จึงทรงให้ความคุ้นเคยเป็นพิเศษ ส่วนชายบ้านนอกหลังจากถวายพระจนทั่วถึงแล้ว ก็นั่งอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ไกลไม่ใกล้พระพุทธเจ้า จนเมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปใกล้แล้วกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า วันนี้ข้าพระองค์มาจากบ้านนอก เห็นพวกชาวเมืองนำเครื่องสักการะมาถวายแด่พระองค์แล้วเกิดศรัทธาจึงขอร่วมบุญด้วย ด้วยผลบุญนี้ของข้าพระองค์ จงเลิศด้วยลาภและยศในอนาคตกาลด้วยเถิด”

พระพุทธเจ้าวิปัสสีทรงทราบดีเกี่ยวกับอดีตชาติและอนาคตชาติของท่านดังกล่าวแล้ว จึงทรงพยากรณ์อย่างที่พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงพยากรณ์ และมีผลทำให้ชายบ้านนอกเกิดปีติโสมนัสอย่างยิ่ง ท่านได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนกระทั่งได้มาเกิดเป็นพระราชา ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นพระเจ้ากรุงพาราณสี คราวหนึ่งทรงมีพระประสงค์จะได้เมืองเมืองหนึ่งเป็นเมืองขึ้น จึงทรงยกทัพไปล้อมไว้ แล้วได้ส่งพระราชสารไปถึงเจ้าผู้ครองเมืองนั้นเป็นการเตือนว่า ให้เลือกเอาระหว่างสงครามกับสันติภาพ โดยทรงเน้นว่าหากต้องการสันติภาพ ต้องยอมเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นก็ต้องทำสงครามกัน

เจ้าผู้ครองเมืองนั้นไม่ใส่พระทัยในพระราชสาร โดยทรงเห็นว่าทุกวันนี้บ้านเมืองของพระองค์ปกติสุขอยู่แล้ว ทรงบอกให้ชาวเมืองดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่ต้องหวาดกลัวและไม่ต้องเตรียมตัวทำสงคราม และเมื่อประตูเมืองประตูใหญ่ถูกล้อม ก็บอกให้ชาวเมืองออกทางประตูเล็ก ซึ่งข้าศึกยังมิได้ล้อมเนื่องจากยังไม่ทราบ
เวลาล่วงเลยไปนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ที่เมืองนั้นถูกล้อมอยู่ แต่ชาวเมืองก็ยังดำเนินชีวิตอย่างปกติ ฝ่ายพระเจ้ากรุงพาราณสีเองก็ไม่ทรงมีพระประสงค์จะทำสงครามจริง ทรงหวังอยู่ว่าด้วยวิธีอย่างนี้จะทำให้เมืองนั้นเดือดร้อน ชาวเมืองจะฝืดเคือง วิธีนี้เองจะบีบบังคับเจ้าเมืองให้ต้องยอมจำนน และพระองค์ก็จะได้เมืองนั้นมาเป็นเมืองขึ้นโดยไม่ต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ดังนั้นจึงทรงบัญชาการให้กองทัพของพระองค์ล้อมอยู่อย่างนั้น แผนยึดเมืองแบบสันติของพระองค์มาสัมฤทธิ์ผลเอาเมื่อ ๗ วันหลังจากนั้น โดยการช่วยเหลือของพระมารดาของพระองค์เอง กล่าวคือ พระมารดาทรงทราบว่า ชาวเมืองสามารถเข้าเมืองออกเมืองได้ทางประตูเล็ก ฉะนั้น จึงไม่ลำบากในเรื่องการทำมาหากิน พระนางจึงตรัสแนะพระโอรสให้ล้อมที่ประตูเล็กด้วย เมื่อพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงทำตามที่พระมารดาตรัสแนะ ผลที่ได้คือ ชาวเมืองนั้น เริ่มเดือดร้อน อาหารการกินเริ่มขาดแคลน ชาวเมืองเริ่มรวมกลุ่มเข้าเฝ้าเจ้าเมือง และทูลขอร้องให้ยอมจำนน แต่ก็ถูกปฏิเสธ ด้วยเจ้าเมืองทรงเห็นว่าพระองค์ไม่ได้เป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน พระองค์ไม่ได้ทำผิด แต่ศัตรู ต่างหากที่ทำผิด ขัตติยมานะจึงทำให้พระองค์ยอมไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ไม่ได้คิดหาทางต่อสู้หรือ แก้ไข ชาวเมืองต่างไม่พอใจเจ้าเมืองของตนเป็นอย่างมาก และในที่สุดก็พร้อมใจกันปฏิวัติจับเจ้าเมืองของตนฆ่า แล้วประกาศยอมแพ้แก่พระเจ้ากรุงพาราณสี โดยยอมตกเป็นเมืองขึ้น

บาปกรรมครั้งนั้นส่งผลให้ท่านตายไปเกิดอยู่ในอเวจีมหานรกอยู่นานแสนนาน จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านพ้นจากอเวจีมหานรกนั้นแล้วได้มาเกิดเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ซึ่งก็คือพระมารดาในอดีตชาตินั้นเอง เศษบาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ส่งผลให้ทั้ง ๒ ต้องรับทุกขเวทนาร่วมกันเป็นเวลานาน ถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ซึ่งเท่ากับระยะเวลาที่ล้อมเมือง ในอดีตชาตินั้นพอดี แต่ด้วยอำนาจบุญบารมีที่จะได้บรรลุอรหัตผล ครั้นปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุอรหัตผล แล้วได้บวช อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่เมื่อบวชแล้วมีลาภมาก ช่วยให้พระที่ร่วมเดินทางด้วยไม่ลำบาก พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมี ลาภมาก ดังกล่าวมาแล้ว

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 109 ธันวาคม 2552 ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น