ชีวิตของคนเรานั้นประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะหากเราประมาทพลาดพลั้งเผลอสติไปทำความชั่วเข้าสักวันหนึ่ง กรรมนั้นอาจจะนำเราไปสู่ที่ต่ำ หรือทำให้เราต้องตกทุกข์ได้อยาก แต่ละขณะของชีวิตจึงควรดำเนินชีวิตไปอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระมัดระวังจิตของตนเองให้มาก ไม่ให้เผลอไปคิดชั่ว จนเป็นเหตุให้พูดชั่ว ทำชั่วตามมา เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น คนที่รักตนเอง จึงควรตั้งอยู่บนเส้นทางของความดีงาม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ หมั่นฝึกหัดขัดเกลาตนเองจนกว่าจะสามารถทำลายกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง พ้นจากบ่วงแห่งมารทั้งหลายทั้งปวงแล้ว จึงจะถือว่าปลอดภัย แต่ตราบใดที่เรายังไม่หมดสิ้นกิเลส เราต้องเพียรพยายาม ต่อไปจนกว่าจะถึงเป้าหมายสูงสุด ในกฎแห่งกรรมต่อไปนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความไม่แน่นอนของชีวิตที่ต้องผันแปรไปตามแรงของกรรม
ในครั้งพุทธกาล วันหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นลูกสุกรตัวเมียตัวหนึ่ง จึงได้ทรงแย้มพระโอษฐ์ (ยิ้ม) พระอานนทเถระที่เสด็จตามไปด้วย เกิดความสงสัย จึงได้กราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์
พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า “เห็นนางลูกสุกรนั่นไหม?” เมื่อพระอานนท์กราบทูลว่าเห็น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าว่า นางลูกสุกรนั้นเคยเกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ที่ใกล้ๆ โรงฉันแห่งหนึ่ง ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ ต่อมาแม่ไก่ได้ฟังเสียงของภิกษุผู้มีความรู้แตกฉานในธรรมรูปหนึ่งกำลังเทศน์เรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยอานิสงส์แห่งการฟังเทศน์ของแม่ไก่ในครั้งนั้น หลังจากตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระราชธิดาของพระราชาองค์หนึ่ง พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่า “อุพพรี”
วันหนึ่งพระนางอุพพรีได้เสด็จเข้าไปยังห้องสุขา พระนางทอดพระเนตรเห็นหนอนจำนวนมาก ไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด จึงได้พิจารณากรรมฐาน ทำให้เกิดปุฬวกสัญญาขึ้นในที่นั้นนั่นเอง พระนางจึงได้บรรลุปฐมฌาน ดำรงชีวิตอยู่จนกระทั่งสิ้นอายุขัย และด้วยอานุภาพบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก พระนางเสวย สุขอยู่ในพรหมโลกจนกระทั่งสิ้นบุญ แต่ในขณะใกล้ที่จะสิ้นบุญนั้น นางยังเกิดความสับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ จึงได้มาเกิดเป็นลูกสุกร
หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงเล่าเรื่องกรรมของนางสุกรแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนทเถระเป็นต้น ต่างก็เกิดความสังเวชเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า จิตของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ต่างก็เกิดความสังเวชขึ้นแล้ว พระองค์จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับโทษแห่งราคตัณหาให้ฟัง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระภิกษุจำนวนมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ทำให้พระแต่ละรูปมีกิเลสตัณหาลดน้อยลง จิตใจมีพลังที่จะทำความดี สะสางกิเลสตัณหาให้หมดสิ้น หรือบรรลุซึ่งพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดให้ได้
ส่วนนางลูกสุกร หลังจากตายจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในตระกูลของพระราชา ในสุวรรณภูมิ อยู่ต่อไปจนกระทั่งสิ้นอายุขัย ก็ไปเกิดในกรุงพาราณสี ตายจากกรุงพาราณสีแล้ว ก็ไปเกิดในบ้านพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะ จากนั้นก็ไปเกิดในบ้านของนายเรือที่ท่าคาวิระ ตายจากภพนั้นแล้วก็ไปเกิดในอยู่ในบ้านของอิสรชน ในเมืองอนุราธบุรี แล้วก็ไปเกิดเป็นธิดาในบ้านของกุฎมพีชื่อว่า สุมนะ ในเภกกันตคาม ทางทิศใต้ของเมือง นางได้ชื่อว่าสุมนา
ต่อมาบิดาของนางก็ได้ไปสู่แคว้นทีฆวาปี อยู่ในหมู่บ้านชื่อว่ามหามุนีคาม วันหนึ่งมีอำมาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามณี ได้เดินทางไปที่บ้านมหามุนีคาม เพื่อจะทำกิจธุระบางอย่าง บังเอิญได้มองเห็นนางสุมนา ก็เกิดตกหลุมรัก จึงได้ทำพิธีสู่ขอนางอย่างใหญ่โต แล้วพากลับไปสู่บ้านมหาปุณณคาม
ครั้งนั้น พระมหาอดุลเถระผู้อยู่ในมหาวิหารชื่อโกฏิบรรพต ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน และได้ยืนอยู่ที่ประตูบ้านของนางสุมนา พอเห็นนางแล้ว ท่านจึงกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ชื่อว่านางลูกสุกร ถึงความเป็นภรรยาของมหาอำนาตย์ชื่อลกุณฎกอติมพระ แล้ว โอ! น่าอัศจรรย์จริง”
นางสุมนาได้ฟังคำของพระเถระแล้ว ก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ทันที เมื่อนางทราบอดีตของตัวเองแล้ว จึงเกิดความสังเวชขึ้น นางจึงอ้อนวอนสามี ขอออกบวชในสำนักของพระเถรีผู้ตั้งอยู่ในธรรมคนหนึ่ง เมื่อบวชแล้วได้ฟังธรรมเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐานสูตร นางจึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
หลังจากนั้นต่อมาเมื่อพระเจ้าทุฏฐคามณีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระสุมนาเถรีได้ไปสู่บ้านเภกกันตคาม ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาบิดา และได้อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ต่อ มานางได้ฟังธรรมอาสีวิสูปมสูตร จึงทำให้นางบรรลุพระอรหัต หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง และดำรงชีวิตด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งถึงวันนิพพาน
ในวันนิพพานนั้น พระสุมนาถูกพวกภิกษุณีซักถามถึงอดีตที่ผ่านมาในภพชาติต่างๆ ท่านจึงได้เล่าประวัติทั้งหมดอย่างละเอียดว่า “ในกาลก่อน ข้าพเจ้าตายจากมนุษย์แล้ว ได้ไปเกิดเป็นแม่ไก่ และถูกเหยี่ยวตัดศีรษะ ตายจากอัตตภาพนั้นก็ไปเกิดในกรุงราชคฤห์ แล้วบวชในสำนักของนางปริพาชิกาทั้งหลาย และได้ปฐมฌานในภพนั้น ตายจากภพนั้นก็ไปเกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อมาไม่นานนักก็ตายและไปเกิดเป็นหมู ตายจากอัตตภาพนั้นก็ไปเกิดในสุวรรณภูมิ ตายจากสุวรรณภูมิก็ไปเกิดในเมืองพาราณสี ตายจากเมืองพาราณสีก็ไปเกิดที่ท่าสุปปารกะ ตายจากสุปปารกะก็ไปเกิดที่ท่าคาวิระ ตายจาก ท่าคาวิระก็ไปเกิดในเมืองอนุราธบุรี ตายจากอนุราธบุรี ก็ไปเกิดในหมู่บ้านเภกกันตคาม ข้าพเจ้าได้เกิดใน อัตภาพสูงบ้าง ต่ำบ้าง ๑๓ ภพอย่างนี้ จึงค่อยได้มาเกิดในอัตภาพนี้ ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงกระทำแต่ความดี อย่าประมาทโดยเด็ดขาด”
ชีวิตของคนเรานั้นย่อมเป็นไปตามกรรมของเราเอง ที่เป็นคนกระทำ หากเราทำความดีเราก็เกิดมาดี มีความสุข หากทำความชั่วก็เกิดมาไม่ดี มีความทุกข์ หากเราอยากเกิดมาดีมีความสุขสบาย ก็ต้องหมั่นสั่งสมแต่กรรมดี อย่าประมาทเผลอไปทำความชั่วโดยประการทั้ง ปวง เพราะกรรมนั้นจะทำให้เราได้พบความทุกข์ทั้งในภพนี้และภพหน้า
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 106 กันยายน 2552 โดยมาลาวชิโร)
ในครั้งพุทธกาล วันหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นลูกสุกรตัวเมียตัวหนึ่ง จึงได้ทรงแย้มพระโอษฐ์ (ยิ้ม) พระอานนทเถระที่เสด็จตามไปด้วย เกิดความสงสัย จึงได้กราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์
พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า “เห็นนางลูกสุกรนั่นไหม?” เมื่อพระอานนท์กราบทูลว่าเห็น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าว่า นางลูกสุกรนั้นเคยเกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ที่ใกล้ๆ โรงฉันแห่งหนึ่ง ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ ต่อมาแม่ไก่ได้ฟังเสียงของภิกษุผู้มีความรู้แตกฉานในธรรมรูปหนึ่งกำลังเทศน์เรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยอานิสงส์แห่งการฟังเทศน์ของแม่ไก่ในครั้งนั้น หลังจากตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระราชธิดาของพระราชาองค์หนึ่ง พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่า “อุพพรี”
วันหนึ่งพระนางอุพพรีได้เสด็จเข้าไปยังห้องสุขา พระนางทอดพระเนตรเห็นหนอนจำนวนมาก ไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด จึงได้พิจารณากรรมฐาน ทำให้เกิดปุฬวกสัญญาขึ้นในที่นั้นนั่นเอง พระนางจึงได้บรรลุปฐมฌาน ดำรงชีวิตอยู่จนกระทั่งสิ้นอายุขัย และด้วยอานุภาพบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก พระนางเสวย สุขอยู่ในพรหมโลกจนกระทั่งสิ้นบุญ แต่ในขณะใกล้ที่จะสิ้นบุญนั้น นางยังเกิดความสับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ จึงได้มาเกิดเป็นลูกสุกร
หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงเล่าเรื่องกรรมของนางสุกรแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนทเถระเป็นต้น ต่างก็เกิดความสังเวชเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า จิตของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ต่างก็เกิดความสังเวชขึ้นแล้ว พระองค์จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับโทษแห่งราคตัณหาให้ฟัง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระภิกษุจำนวนมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ทำให้พระแต่ละรูปมีกิเลสตัณหาลดน้อยลง จิตใจมีพลังที่จะทำความดี สะสางกิเลสตัณหาให้หมดสิ้น หรือบรรลุซึ่งพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดให้ได้
ส่วนนางลูกสุกร หลังจากตายจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในตระกูลของพระราชา ในสุวรรณภูมิ อยู่ต่อไปจนกระทั่งสิ้นอายุขัย ก็ไปเกิดในกรุงพาราณสี ตายจากกรุงพาราณสีแล้ว ก็ไปเกิดในบ้านพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะ จากนั้นก็ไปเกิดในบ้านของนายเรือที่ท่าคาวิระ ตายจากภพนั้นแล้วก็ไปเกิดในอยู่ในบ้านของอิสรชน ในเมืองอนุราธบุรี แล้วก็ไปเกิดเป็นธิดาในบ้านของกุฎมพีชื่อว่า สุมนะ ในเภกกันตคาม ทางทิศใต้ของเมือง นางได้ชื่อว่าสุมนา
ต่อมาบิดาของนางก็ได้ไปสู่แคว้นทีฆวาปี อยู่ในหมู่บ้านชื่อว่ามหามุนีคาม วันหนึ่งมีอำมาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามณี ได้เดินทางไปที่บ้านมหามุนีคาม เพื่อจะทำกิจธุระบางอย่าง บังเอิญได้มองเห็นนางสุมนา ก็เกิดตกหลุมรัก จึงได้ทำพิธีสู่ขอนางอย่างใหญ่โต แล้วพากลับไปสู่บ้านมหาปุณณคาม
ครั้งนั้น พระมหาอดุลเถระผู้อยู่ในมหาวิหารชื่อโกฏิบรรพต ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน และได้ยืนอยู่ที่ประตูบ้านของนางสุมนา พอเห็นนางแล้ว ท่านจึงกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ชื่อว่านางลูกสุกร ถึงความเป็นภรรยาของมหาอำนาตย์ชื่อลกุณฎกอติมพระ แล้ว โอ! น่าอัศจรรย์จริง”
นางสุมนาได้ฟังคำของพระเถระแล้ว ก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ทันที เมื่อนางทราบอดีตของตัวเองแล้ว จึงเกิดความสังเวชขึ้น นางจึงอ้อนวอนสามี ขอออกบวชในสำนักของพระเถรีผู้ตั้งอยู่ในธรรมคนหนึ่ง เมื่อบวชแล้วได้ฟังธรรมเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐานสูตร นางจึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
หลังจากนั้นต่อมาเมื่อพระเจ้าทุฏฐคามณีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระสุมนาเถรีได้ไปสู่บ้านเภกกันตคาม ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาบิดา และได้อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ต่อ มานางได้ฟังธรรมอาสีวิสูปมสูตร จึงทำให้นางบรรลุพระอรหัต หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง และดำรงชีวิตด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งถึงวันนิพพาน
ในวันนิพพานนั้น พระสุมนาถูกพวกภิกษุณีซักถามถึงอดีตที่ผ่านมาในภพชาติต่างๆ ท่านจึงได้เล่าประวัติทั้งหมดอย่างละเอียดว่า “ในกาลก่อน ข้าพเจ้าตายจากมนุษย์แล้ว ได้ไปเกิดเป็นแม่ไก่ และถูกเหยี่ยวตัดศีรษะ ตายจากอัตตภาพนั้นก็ไปเกิดในกรุงราชคฤห์ แล้วบวชในสำนักของนางปริพาชิกาทั้งหลาย และได้ปฐมฌานในภพนั้น ตายจากภพนั้นก็ไปเกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อมาไม่นานนักก็ตายและไปเกิดเป็นหมู ตายจากอัตตภาพนั้นก็ไปเกิดในสุวรรณภูมิ ตายจากสุวรรณภูมิก็ไปเกิดในเมืองพาราณสี ตายจากเมืองพาราณสีก็ไปเกิดที่ท่าสุปปารกะ ตายจากสุปปารกะก็ไปเกิดที่ท่าคาวิระ ตายจาก ท่าคาวิระก็ไปเกิดในเมืองอนุราธบุรี ตายจากอนุราธบุรี ก็ไปเกิดในหมู่บ้านเภกกันตคาม ข้าพเจ้าได้เกิดใน อัตภาพสูงบ้าง ต่ำบ้าง ๑๓ ภพอย่างนี้ จึงค่อยได้มาเกิดในอัตภาพนี้ ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงกระทำแต่ความดี อย่าประมาทโดยเด็ดขาด”
ชีวิตของคนเรานั้นย่อมเป็นไปตามกรรมของเราเอง ที่เป็นคนกระทำ หากเราทำความดีเราก็เกิดมาดี มีความสุข หากทำความชั่วก็เกิดมาไม่ดี มีความทุกข์ หากเราอยากเกิดมาดีมีความสุขสบาย ก็ต้องหมั่นสั่งสมแต่กรรมดี อย่าประมาทเผลอไปทำความชั่วโดยประการทั้ง ปวง เพราะกรรมนั้นจะทำให้เราได้พบความทุกข์ทั้งในภพนี้และภพหน้า
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 106 กันยายน 2552 โดยมาลาวชิโร)