เอตทัคคะ-อดีตชาติ (ต่อ)
พระอุบาลี ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ “สุชาตะ” มีทรัพย์สมบัติถึง ๘๐ โกฎิ อยู่ในเมืองหงสวดี อดีตชาติของ ท่านสัมพันธ์อยู่กับอดีตชาติของพระปุณณมันตานีบุตร โดยที่ในครั้งนั้นพระปุณณมันตานีบุตรเกิดเป็นฤาษีสุนันทะหรือฤาษีโคดม ซึ่งได้บรรลุฌานและมีฤทธิ์
วันหนึ่ง ทั้งฤาษีสุนันทะและพราหมณ์สุชาตะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตระด้วยกัน เห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้าเฝ้า ฤาษีสุนันทะเห็นประชาชนจำนวนมากนั่งฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก็เกิดศรัทธา จึงเนรมิต ปะรำดอกไม้ขึ้นบังแดดบังลมให้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธบิดา และประชาชน จากนั้นก็ได้ร่วมฟังธรรมอยู่ด้วย ซึ่งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงแสดงติดต่อกันนาน ๗ วัน ๗ คืน ขณะฟังธรรมอยู่นั้นฤาษีสุนันทะก็ได้ตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บรรลุธรรม และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ซึ่งก็ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าปทุมุตตระว่า ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม และจักมีชื่อว่า “ปุณณมันตานีบุตร”
ส่วนพราหมณ์สุชาตะ ครั้นได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ฤาษีสุนันทะแล้วก็เกิดศรัทธา ยิ่งได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านทรงจำพระวินัยในวันนั้นด้วย ก็ยิ่งเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
พราหมณ์สุชาตะแสดงศรัทธาให้ปรากฎ ด้วยการสร้างโสภณารามถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวก หลังจากทำพิธีฉลองโดยนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยพระกระยาหารพร้อมด้วยพระสาวกแล้ว ก็เข้าเฝ้าพร้อมทั้งกราบทูลให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับการพยากรณ์เช่นเดียวกัน คือในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม เช่นเดียวกับฤาษีสุนันทะ และจักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้านทรงจำพระวินัย และจักมีชื่อว่า “อุบาลี”
พราหมณ์สุชาตะได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ มีอยู่ชาติหนึ่งได้เกิดเป็นพระราชกุมาร พระนามว่า “จันทนะ” พระราชโอรสของพระเจ้าจักรพรรดิ อัญชนะ
เจ้าชายจันทนะเป็นคนกระด้าง เพราะถือตัวว่าเป็นพระราชโอรสสูงส่งด้วยพระอิสริยยศ และพระชาติกำเนิด เจ้าชายจันทนะใช่แต่จะถือตัวกับพสกนิกรเท่านั้น แม้แต่สมณพราหมณ์ก็ไม่ละเว้น มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง ขณะทรงช้างประพาสอุทยาน ได้พบพระเทวละเดินผ่านขบวนเสด็จแล้วทรงพิโรธ จึงทรงไสช้างขับไล่พระเทวละ แต่ด้วยเมตตานุภาพของพระเทวละ ช้างจึงไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ คงยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง
เมื่อไม่สามารถไสช้างเข้าทำร้ายพระเทวละได้ เจ้าชายจันทนะก็ยิ่งทรงพิโรธและตรัสบริภาษด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก่อนที่จะเสด็จต่อไปยังพระอุทยานหลวง พระเทวละเป็นพระที่บริสุทธิ์สำรวมอินทรีย์ การประทุษร้ายท่านจึงถือเป็นบาปกรรมหนัก เจ้าชายจันทนะทรงประจักษ์แจ้งในความจริงข้อนี้ได้ดี เพราะหลังจากนั้นแล้วไม่นานพระองค์ก็ทรงเร่าร้อนพระทัยคล้ายถูกไฟสุม จึงด่วนเสด็จกลับพระราชวัง แล้วทูลเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดถวายพระราชบิดา พระราชบิดาครั้นทรงสดับความจริงแล้ว ก็ตรัสบอกพระราชโอรสให้ไปขอขมาพระเทวละด้วยพระองค์เอง เจ้าชายจันทนะทรงทำตามที่พระราชบิดาตรัสแนะนำ พระเทวละได้ยกโทษให้ โดยได้กล่าวปลอบพระทัยเจ้าชายจันทนะความว่า
ไฟย่อมไม่ลุกไหม้ในน้ำ
เมล็ดพืชย่อมไม่งอกในหิน
หนอนย่อมไม่เกิดในตัวยา
เช่นเดียวกับความโกรธ
ย่อมไม่เกิดในพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนผืนแผ่นดิน
นั่นคือใครๆ จะทำให้หวั่นไหวไม่ได้
พระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนฝึกตนมาดี
มีความกล้าและอดทน
จึงไม่ตกอยู่ในอำนาจความโกรธ
เจ้าชายจันทนะทรงสบายพระทัยขึ้นเมื่อได้ฟังคำปลอบโยน จากชาตินั้นพระองค์ได้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ได้มาเกิดในตระกูลชั้นต่ำ(หีนชาติ) คือตระกูลช่างตัดผม ด้วยอำนาจเศษของบาปกรรมนั้น แต่ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่ได้วินิจฉัยอธิกรณ์ได้เรียบร้อยโดยยึดพระวินัยเป็นหลัก พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านทรงจำพระวินัย
พระภัททิยะ (กาฬิโคธาบุตร) ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดในตระกูล มั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งท่านได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอต- ทัคคะด้านมีตระกูลสูง จึงเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่ พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์ คือในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า ท่านจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธ เจ้าโคดม จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีตระกูลสูง
ท่านฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ท่านยังได้ทำบุญสนับสนุนให้เกิดในตระกูลสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการถวายอาสนะและพัดประจำธรรมาสน์ (ที่สำหรับพระนั่งแสดงธรรม) ด้วยการถวายที่ประทับนั่งราคาแพงแด่พระพุทธเจ้า และด้วยการจุดประทีปไว้ในสถานที่ต่างๆ มีโรงอุโบสถเป็นต้น จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธันดรหนึ่ง
ชาติหนึ่งในพุทธันดรนั้น ท่านเกิดเป็นกฎมพีชาวเมืองพาราณสี วันหนึ่งได้มาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา และเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายรูปกำลังฉันภัตตาหารอยู่จึงเกิดศรัทธา จัดหาแผ่นหินมาวางเป็นที่นั่งถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น พร้อมทั้งคอยปรนนิบัติ ด้วยการถวายน้ำฉันน้ำใช้และไม้สีฟัน กฎมพีได้ปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยมาทุกวันจนตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นโอรสของพระนางกาฬิโคธา พระญาติของพระพุทธเจ้า ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับปัจจุบันชาติที่เมื่อก่อนออกบวชอยู่ในวาระที่จะได้รับอภิเษกให้เป็นกษัตริย์ฝ่ายศากยวงศ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีตระกูลสูง ดังกล่าวมาแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 105 สิงหาคม 2552 โดย ผ.ศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระอุบาลี ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ “สุชาตะ” มีทรัพย์สมบัติถึง ๘๐ โกฎิ อยู่ในเมืองหงสวดี อดีตชาติของ ท่านสัมพันธ์อยู่กับอดีตชาติของพระปุณณมันตานีบุตร โดยที่ในครั้งนั้นพระปุณณมันตานีบุตรเกิดเป็นฤาษีสุนันทะหรือฤาษีโคดม ซึ่งได้บรรลุฌานและมีฤทธิ์
วันหนึ่ง ทั้งฤาษีสุนันทะและพราหมณ์สุชาตะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตระด้วยกัน เห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้าเฝ้า ฤาษีสุนันทะเห็นประชาชนจำนวนมากนั่งฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก็เกิดศรัทธา จึงเนรมิต ปะรำดอกไม้ขึ้นบังแดดบังลมให้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธบิดา และประชาชน จากนั้นก็ได้ร่วมฟังธรรมอยู่ด้วย ซึ่งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงแสดงติดต่อกันนาน ๗ วัน ๗ คืน ขณะฟังธรรมอยู่นั้นฤาษีสุนันทะก็ได้ตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บรรลุธรรม และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ซึ่งก็ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าปทุมุตตระว่า ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม และจักมีชื่อว่า “ปุณณมันตานีบุตร”
ส่วนพราหมณ์สุชาตะ ครั้นได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ฤาษีสุนันทะแล้วก็เกิดศรัทธา ยิ่งได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านทรงจำพระวินัยในวันนั้นด้วย ก็ยิ่งเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
พราหมณ์สุชาตะแสดงศรัทธาให้ปรากฎ ด้วยการสร้างโสภณารามถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวก หลังจากทำพิธีฉลองโดยนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยพระกระยาหารพร้อมด้วยพระสาวกแล้ว ก็เข้าเฝ้าพร้อมทั้งกราบทูลให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับการพยากรณ์เช่นเดียวกัน คือในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม เช่นเดียวกับฤาษีสุนันทะ และจักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้านทรงจำพระวินัย และจักมีชื่อว่า “อุบาลี”
พราหมณ์สุชาตะได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ มีอยู่ชาติหนึ่งได้เกิดเป็นพระราชกุมาร พระนามว่า “จันทนะ” พระราชโอรสของพระเจ้าจักรพรรดิ อัญชนะ
เจ้าชายจันทนะเป็นคนกระด้าง เพราะถือตัวว่าเป็นพระราชโอรสสูงส่งด้วยพระอิสริยยศ และพระชาติกำเนิด เจ้าชายจันทนะใช่แต่จะถือตัวกับพสกนิกรเท่านั้น แม้แต่สมณพราหมณ์ก็ไม่ละเว้น มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง ขณะทรงช้างประพาสอุทยาน ได้พบพระเทวละเดินผ่านขบวนเสด็จแล้วทรงพิโรธ จึงทรงไสช้างขับไล่พระเทวละ แต่ด้วยเมตตานุภาพของพระเทวละ ช้างจึงไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ คงยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง
เมื่อไม่สามารถไสช้างเข้าทำร้ายพระเทวละได้ เจ้าชายจันทนะก็ยิ่งทรงพิโรธและตรัสบริภาษด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก่อนที่จะเสด็จต่อไปยังพระอุทยานหลวง พระเทวละเป็นพระที่บริสุทธิ์สำรวมอินทรีย์ การประทุษร้ายท่านจึงถือเป็นบาปกรรมหนัก เจ้าชายจันทนะทรงประจักษ์แจ้งในความจริงข้อนี้ได้ดี เพราะหลังจากนั้นแล้วไม่นานพระองค์ก็ทรงเร่าร้อนพระทัยคล้ายถูกไฟสุม จึงด่วนเสด็จกลับพระราชวัง แล้วทูลเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดถวายพระราชบิดา พระราชบิดาครั้นทรงสดับความจริงแล้ว ก็ตรัสบอกพระราชโอรสให้ไปขอขมาพระเทวละด้วยพระองค์เอง เจ้าชายจันทนะทรงทำตามที่พระราชบิดาตรัสแนะนำ พระเทวละได้ยกโทษให้ โดยได้กล่าวปลอบพระทัยเจ้าชายจันทนะความว่า
ไฟย่อมไม่ลุกไหม้ในน้ำ
เมล็ดพืชย่อมไม่งอกในหิน
หนอนย่อมไม่เกิดในตัวยา
เช่นเดียวกับความโกรธ
ย่อมไม่เกิดในพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนผืนแผ่นดิน
นั่นคือใครๆ จะทำให้หวั่นไหวไม่ได้
พระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนฝึกตนมาดี
มีความกล้าและอดทน
จึงไม่ตกอยู่ในอำนาจความโกรธ
เจ้าชายจันทนะทรงสบายพระทัยขึ้นเมื่อได้ฟังคำปลอบโยน จากชาตินั้นพระองค์ได้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ได้มาเกิดในตระกูลชั้นต่ำ(หีนชาติ) คือตระกูลช่างตัดผม ด้วยอำนาจเศษของบาปกรรมนั้น แต่ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่ได้วินิจฉัยอธิกรณ์ได้เรียบร้อยโดยยึดพระวินัยเป็นหลัก พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านทรงจำพระวินัย
พระภัททิยะ (กาฬิโคธาบุตร) ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดในตระกูล มั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งท่านได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอต- ทัคคะด้านมีตระกูลสูง จึงเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่ พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์ คือในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า ท่านจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธ เจ้าโคดม จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีตระกูลสูง
ท่านฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ท่านยังได้ทำบุญสนับสนุนให้เกิดในตระกูลสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการถวายอาสนะและพัดประจำธรรมาสน์ (ที่สำหรับพระนั่งแสดงธรรม) ด้วยการถวายที่ประทับนั่งราคาแพงแด่พระพุทธเจ้า และด้วยการจุดประทีปไว้ในสถานที่ต่างๆ มีโรงอุโบสถเป็นต้น จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธันดรหนึ่ง
ชาติหนึ่งในพุทธันดรนั้น ท่านเกิดเป็นกฎมพีชาวเมืองพาราณสี วันหนึ่งได้มาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา และเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายรูปกำลังฉันภัตตาหารอยู่จึงเกิดศรัทธา จัดหาแผ่นหินมาวางเป็นที่นั่งถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น พร้อมทั้งคอยปรนนิบัติ ด้วยการถวายน้ำฉันน้ำใช้และไม้สีฟัน กฎมพีได้ปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยมาทุกวันจนตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นโอรสของพระนางกาฬิโคธา พระญาติของพระพุทธเจ้า ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับปัจจุบันชาติที่เมื่อก่อนออกบวชอยู่ในวาระที่จะได้รับอภิเษกให้เป็นกษัตริย์ฝ่ายศากยวงศ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีตระกูลสูง ดังกล่าวมาแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 105 สิงหาคม 2552 โดย ผ.ศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)