กรุงพาราณสีในอดีตมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่ากิตวะ มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง เป็นผู้บ้าอำนาจ ถือตัวว่าเป็นใหญ่ วันหนึ่งหลังจากที่พระองค์ทรงออกกำลังกายในพระราชอุทยานเสร็จแล้ว ก็ได้ขี่ช้างเสด็จกลับเข้าพระราชวัง ระหว่างทางได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระนามว่า “สุเนตต์” กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ในพระนคร เมื่อพระราชโอรสเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ทำความเคารพพระองค์เหมือนคนทั่วไป จึงมีจิตคิดประทุษร้ายว่า
“สมณะโล้นนี้ ไม่ทำความเคารพเราเลย”
จึงทรงลงจากคอช้างเดินตรงเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วถามว่า
“ท่านได้บิณฑบาตบ้างไหม?” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปดึงบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วจับทุ่มลงที่พื้นดิน จนบาตรแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
การที่พระองค์มีความอาฆาต มีจิตคิดประทุษร้ายต่อ พระปัจเจกพุทธเจ้าเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็น อย่างยิ่ง เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนี้เป็นผู้มีความสงบ เสงี่ยม มีจิตผ่องใส มีศีลบริสุทธิ์ มีความเมตตากรุณาต่อ สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ผลกรรมที่ทำจึงเกิดขึ้นแก่พระราชโอรสทันตาเห็น คือ หลังจากที่พระองค์ได้ทุ่มบาตรลง พื้นดินจนแตกและได้ตรัสกับพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า
“ท่านไม่รู้จักเราผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากิตวะหรืออย่างไร ท่านมองดูเราอยู่อย่างนี้ จะทำอะไรเราได้ ถ้าทำไม่ได้ก็หลีกไปซะ”
ขณะที่พระราชโอรสเดินกลับไปนั้น ร่างกายก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นมาอย่างหนัก เปรียบเหมือนความเร่าร้อนแห่งไฟในนรกทีเดียว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะวิบากแห่งกรรมที่ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง พระราชโอรสร้อนไปทั่วทั้งกาย กระวนกระวายอย่างหนัก ในที่ สุดทนความร้อนไม่ไหวจึงขาดใจตาย แล้วไปบังเกิดในอเวจีมหานรก!!
พระองค์ทรงนอนหงาย นอนคว่ำ กลิ้งเกลือก พลิกขวา พลิกซ้าย ดิ้นทุรนทุรายไปมาอยู่อย่างนั้น หมกไหม้อยู่ในนรกถึง 84,000 ปี จึงจุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดเป็นเปรตผู้มีแต่ความหิวกระหายอีกตลอดกาลนาน อันหาประมาณมิได้ จุติจากอัตตภาพเปรตนั้นแล้วจึงไปเกิดในเกวัฏฏคาม ใกล้กุณฑินคร ในสมัยพุทธกาล
ตระกูลที่เขามาเกิดนั้นเป็นตระกูลชาวประมง และในชาตินี้เขาสามารถระลึกชาติได้ ทุกครั้งที่ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเองเคยประสบมาในอดีต ก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่าง หนัก จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะไปจับปลากับพวกญาติเพราะกลัวบาป เวลาที่พวกญาติออกไปจับปลา เขาก็แอบหลบไม่ให้ใครเห็น ไม่อยากจะไปฆ่าปลา เขาแอบไปรื้อตาข่ายที่พวกญาติดักปลาไว้บ้าง จับปลาเป็นๆ มาปล่อยบ้าง แต่ในที่สุดพวกญาติก็จับได้และเกิดความไม่พอใจการกระทำของเขามาก จึงขับไล่เขาออกจากบ้าน ถึงแม้คนอื่นจะเกลียดเขาอย่างไร แต่เขาก็ยังมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งที่ยังรักเขาอยู่เสมอ
ในขณะนั้น พระอานนท์อาศัยอยู่ในกุณฑินคร อยู่ในสานุบรรพต เมื่อบุตรของชาวประมงถูกพวกญาติทอดทิ้ง เที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งมาถึงที่อยู่ของพระอานนท์ เขาได้เข้าไปหาท่านในขณะที่ท่านกำลังฉันภัตตาหารอยู่พอดี ท่านถามเขาแล้วก็รู้ว่าเขาต้องการอาหารจึงให้อาหารแก่เขา หลังจากที่เขาบริโภคเสร็จแล้ว ท่านทราบว่าเขาสนใจใน ธรรมกถา จึงถามว่าจะบวชไหม เขา ได้ตอบตกลงที่จะบวช พระอานนท์จึงได้บวชให้ ครั้นบวชแล้วจึงได้พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “เธอช่วยอนุเคราะห์สามเณรนี้หน่อยเถิด สามเณรรูปนี้ไม่เคยทำบุญกุศลไว้เลย จึงมีลาภน้อย”
ด้วยความที่พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตาต่อสามเณร ต้องการจะช่วยสามเณรให้ได้ทำบุญ จึงแนะนำให้ไปตักน้ำดื่มใส่หม้อไว้ให้เต็ม เพื่อให้ภิกษุบริโภค บรรดาอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงช่วยกันถวายปัจจัยให้แก่สามเณรเป็นอันมาก
ต่อมาสามเณรได้บวชเป็นพระและบรรลุอรหันต์ในที่สุด ท่านได้อยู่ที่สานุบรรพตร่วมกับพระภิกษุอีก 12 รูป ส่วนพวกญาติของท่านประมาณ 500 คน ไม่เคยสร้างกุศลกรรมอะไรไว้เลย สร้างแต่บาปกรรม เป็นผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียว หลังจากตายแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต
มารดาบิดาของท่านที่ตายไปเป็นเปรต ไม่กล้าเข้าไปหาท่าน เพราะระลึกได้ว่า แต่ก่อนได้ขับไล่ท่านออกจากบ้าน จึงส่งพี่ชายที่รักใคร่กันเข้าไปหา เปรตผู้เป็นพี่ชายซึ่งเปลือยกายรีบไปนั่งคุกเข่า ประนมมืออยู่ต่อหน้าพระเถระ แต่ท่านไม่ใส่ใจเปรตนั้น ได้แต่นิ่งแล้วเดินเลยไป เปรตนั้นจึงบอกพระเถระว่า
“ข้าพเจ้าเป็นพี่ชายของท่าน ตายไปเกิดเป็นเปรต ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มารดาบิดาของท่านเกิดในยมโลก เสวยแต่ทุกขเวทนา เพราะบาปกรรมที่ทำไว้มาก หลังจาก ตายจากโลกนี้ไปแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต เปรตผู้เป็นมารดาบิดาของท่านทั้งสองมีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากมาก เปลือยกาย ซูบผอม มีความเกรงกลัว สะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่กล้ามาปรากฏตัวให้ท่านเห็น ขอท่าน จงเป็นผู้มีความกรุณาอนุเคราะห์แก่มารดาบิดาเถิด จง ให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเราด้วย พวกเราผู้มีการงานอันทารุณ จักยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ เพราะทาน ที่ท่านได้ทำบุญอุทิศให้”
เมื่อพระเถระบิณฑบาตกลับมาแล้ว จึงได้กล่าวขอภัตตาหารจากพระทุกรูปเพื่อทำสังฆทานให้แก่ญาติ พระทุกรูปจึงได้ให้ภัตตาหารแก่ท่าน หลังจากทำสังฆทานอุทิศไปให้มารดาบิดาและพี่ชายแล้ว โภชนะอันประณีต สมบูรณ์ ก็เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นทันที
เปรตผู้เป็นพี่ชายก็มีผิวพรรณดี มีกำลังวังชา มีความสุข ได้ไปปรากฏตัวให้พระเถระเห็นและบอกว่า “พวกข้าพเจ้าได้อาหารทุกอย่างที่ท่านอุทิศไปให้แล้ว แต่ยังขาดเสื้อผ้าอยู่”
พระเถระจึงไปหาเศษผ้าจากกองหยากเหยื่อมาเย็บต่อกันทำเป็นจีวรแล้วถวายพระสงฆ์ที่มาจากทิศทั้งสี่ พอถวายเสร็จ ผ้าทั้งหลายก็ได้เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นทันที
แต่พวกเปรตก็มาแจ้งอีกว่ายังขาดบ้านเรือนอยู่อาศัย พระเถระจึงสร้างกุฎีมุงด้วยใบไม้แล้วถวายแด่พระสงฆ์ที่มาจากสี่ทิศเพื่ออุทิศไปให้มารดาบิดาและพี่ชาย และทันทีที่ถวายเสร็จพวกเปรตก็ได้ปราสาทและเรือนอย่างดี ซึ่งไม่เหมือนกับในโลกมนุษย์ เรือนของพวกเขางามรุ่งเรืองสว่างไสวไปทั่วทั้ง 8 ทิศ เหมือนเรือนในเทวโลก
ครั้นได้บ้านเรือนแล้ว แต่ยังขาดน้ำดื่ม พวกเปรตก็มาบอกกล่าวให้พระเถระฟัง ท่านจึงตักน้ำเต็มธรรมกรก แล้วถวายสงฆ์ที่มาจากสี่ทิศอุทิศส่วนกุศลไปให้อีก น้ำก็เกิดมีขึ้นทันที
สุดท้าย พวกเขามาบอกว่าเวลาจะไปไหนมาไหนเดินทางลำบาก อยากได้พาหนะสักอย่าง พระเถระจึงได้นำรอง เท้าไปถวายแก่พระสงฆ์ แล้วพาหนะก็เกิดมีขึ้นแก่เปรต
เปรตทั้งหมดเมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็เข้าไปหา พระเถระพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านได้ช่วยเหลือพวกข้าพเจ้า ได้ให้ข้าว ผ้านุ่ง ผ้าห่ม บ้าน น้ำดื่ม และพาหนะแก่พวกข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จึงมาเพื่อจะไหว้ ท่านผู้เป็นมุนี มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกหาประมาณมิได้”
ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ควรจะประมาท ควรรีบขวนขวายทำบุญกุศลไว้ให้มากๆ หลังจากตายไปแล้วหากไปเกิดในนรก เป็นเปรต ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญเหมือนในโลกมนุษย์ ทำได้เพียงรอผลบุญที่คนอื่นทำไปให้เท่านั้น หากไม่มีใครทำบุญอุทิศไปให้ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนหมดเวรหมดกรรม หากไม่อยากเป็นเช่นนั้นก็จงรีบทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลตั้งแต่วินาทีนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 100 มี.ค. 52 โดยมาลาวชิโร)
“สมณะโล้นนี้ ไม่ทำความเคารพเราเลย”
จึงทรงลงจากคอช้างเดินตรงเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วถามว่า
“ท่านได้บิณฑบาตบ้างไหม?” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปดึงบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วจับทุ่มลงที่พื้นดิน จนบาตรแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
การที่พระองค์มีความอาฆาต มีจิตคิดประทุษร้ายต่อ พระปัจเจกพุทธเจ้าเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็น อย่างยิ่ง เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนี้เป็นผู้มีความสงบ เสงี่ยม มีจิตผ่องใส มีศีลบริสุทธิ์ มีความเมตตากรุณาต่อ สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ผลกรรมที่ทำจึงเกิดขึ้นแก่พระราชโอรสทันตาเห็น คือ หลังจากที่พระองค์ได้ทุ่มบาตรลง พื้นดินจนแตกและได้ตรัสกับพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า
“ท่านไม่รู้จักเราผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากิตวะหรืออย่างไร ท่านมองดูเราอยู่อย่างนี้ จะทำอะไรเราได้ ถ้าทำไม่ได้ก็หลีกไปซะ”
ขณะที่พระราชโอรสเดินกลับไปนั้น ร่างกายก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นมาอย่างหนัก เปรียบเหมือนความเร่าร้อนแห่งไฟในนรกทีเดียว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะวิบากแห่งกรรมที่ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง พระราชโอรสร้อนไปทั่วทั้งกาย กระวนกระวายอย่างหนัก ในที่ สุดทนความร้อนไม่ไหวจึงขาดใจตาย แล้วไปบังเกิดในอเวจีมหานรก!!
พระองค์ทรงนอนหงาย นอนคว่ำ กลิ้งเกลือก พลิกขวา พลิกซ้าย ดิ้นทุรนทุรายไปมาอยู่อย่างนั้น หมกไหม้อยู่ในนรกถึง 84,000 ปี จึงจุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดเป็นเปรตผู้มีแต่ความหิวกระหายอีกตลอดกาลนาน อันหาประมาณมิได้ จุติจากอัตตภาพเปรตนั้นแล้วจึงไปเกิดในเกวัฏฏคาม ใกล้กุณฑินคร ในสมัยพุทธกาล
ตระกูลที่เขามาเกิดนั้นเป็นตระกูลชาวประมง และในชาตินี้เขาสามารถระลึกชาติได้ ทุกครั้งที่ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเองเคยประสบมาในอดีต ก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่าง หนัก จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะไปจับปลากับพวกญาติเพราะกลัวบาป เวลาที่พวกญาติออกไปจับปลา เขาก็แอบหลบไม่ให้ใครเห็น ไม่อยากจะไปฆ่าปลา เขาแอบไปรื้อตาข่ายที่พวกญาติดักปลาไว้บ้าง จับปลาเป็นๆ มาปล่อยบ้าง แต่ในที่สุดพวกญาติก็จับได้และเกิดความไม่พอใจการกระทำของเขามาก จึงขับไล่เขาออกจากบ้าน ถึงแม้คนอื่นจะเกลียดเขาอย่างไร แต่เขาก็ยังมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งที่ยังรักเขาอยู่เสมอ
ในขณะนั้น พระอานนท์อาศัยอยู่ในกุณฑินคร อยู่ในสานุบรรพต เมื่อบุตรของชาวประมงถูกพวกญาติทอดทิ้ง เที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งมาถึงที่อยู่ของพระอานนท์ เขาได้เข้าไปหาท่านในขณะที่ท่านกำลังฉันภัตตาหารอยู่พอดี ท่านถามเขาแล้วก็รู้ว่าเขาต้องการอาหารจึงให้อาหารแก่เขา หลังจากที่เขาบริโภคเสร็จแล้ว ท่านทราบว่าเขาสนใจใน ธรรมกถา จึงถามว่าจะบวชไหม เขา ได้ตอบตกลงที่จะบวช พระอานนท์จึงได้บวชให้ ครั้นบวชแล้วจึงได้พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “เธอช่วยอนุเคราะห์สามเณรนี้หน่อยเถิด สามเณรรูปนี้ไม่เคยทำบุญกุศลไว้เลย จึงมีลาภน้อย”
ด้วยความที่พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตาต่อสามเณร ต้องการจะช่วยสามเณรให้ได้ทำบุญ จึงแนะนำให้ไปตักน้ำดื่มใส่หม้อไว้ให้เต็ม เพื่อให้ภิกษุบริโภค บรรดาอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงช่วยกันถวายปัจจัยให้แก่สามเณรเป็นอันมาก
ต่อมาสามเณรได้บวชเป็นพระและบรรลุอรหันต์ในที่สุด ท่านได้อยู่ที่สานุบรรพตร่วมกับพระภิกษุอีก 12 รูป ส่วนพวกญาติของท่านประมาณ 500 คน ไม่เคยสร้างกุศลกรรมอะไรไว้เลย สร้างแต่บาปกรรม เป็นผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียว หลังจากตายแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต
มารดาบิดาของท่านที่ตายไปเป็นเปรต ไม่กล้าเข้าไปหาท่าน เพราะระลึกได้ว่า แต่ก่อนได้ขับไล่ท่านออกจากบ้าน จึงส่งพี่ชายที่รักใคร่กันเข้าไปหา เปรตผู้เป็นพี่ชายซึ่งเปลือยกายรีบไปนั่งคุกเข่า ประนมมืออยู่ต่อหน้าพระเถระ แต่ท่านไม่ใส่ใจเปรตนั้น ได้แต่นิ่งแล้วเดินเลยไป เปรตนั้นจึงบอกพระเถระว่า
“ข้าพเจ้าเป็นพี่ชายของท่าน ตายไปเกิดเป็นเปรต ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มารดาบิดาของท่านเกิดในยมโลก เสวยแต่ทุกขเวทนา เพราะบาปกรรมที่ทำไว้มาก หลังจาก ตายจากโลกนี้ไปแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต เปรตผู้เป็นมารดาบิดาของท่านทั้งสองมีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากมาก เปลือยกาย ซูบผอม มีความเกรงกลัว สะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่กล้ามาปรากฏตัวให้ท่านเห็น ขอท่าน จงเป็นผู้มีความกรุณาอนุเคราะห์แก่มารดาบิดาเถิด จง ให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเราด้วย พวกเราผู้มีการงานอันทารุณ จักยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ เพราะทาน ที่ท่านได้ทำบุญอุทิศให้”
เมื่อพระเถระบิณฑบาตกลับมาแล้ว จึงได้กล่าวขอภัตตาหารจากพระทุกรูปเพื่อทำสังฆทานให้แก่ญาติ พระทุกรูปจึงได้ให้ภัตตาหารแก่ท่าน หลังจากทำสังฆทานอุทิศไปให้มารดาบิดาและพี่ชายแล้ว โภชนะอันประณีต สมบูรณ์ ก็เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นทันที
เปรตผู้เป็นพี่ชายก็มีผิวพรรณดี มีกำลังวังชา มีความสุข ได้ไปปรากฏตัวให้พระเถระเห็นและบอกว่า “พวกข้าพเจ้าได้อาหารทุกอย่างที่ท่านอุทิศไปให้แล้ว แต่ยังขาดเสื้อผ้าอยู่”
พระเถระจึงไปหาเศษผ้าจากกองหยากเหยื่อมาเย็บต่อกันทำเป็นจีวรแล้วถวายพระสงฆ์ที่มาจากทิศทั้งสี่ พอถวายเสร็จ ผ้าทั้งหลายก็ได้เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นทันที
แต่พวกเปรตก็มาแจ้งอีกว่ายังขาดบ้านเรือนอยู่อาศัย พระเถระจึงสร้างกุฎีมุงด้วยใบไม้แล้วถวายแด่พระสงฆ์ที่มาจากสี่ทิศเพื่ออุทิศไปให้มารดาบิดาและพี่ชาย และทันทีที่ถวายเสร็จพวกเปรตก็ได้ปราสาทและเรือนอย่างดี ซึ่งไม่เหมือนกับในโลกมนุษย์ เรือนของพวกเขางามรุ่งเรืองสว่างไสวไปทั่วทั้ง 8 ทิศ เหมือนเรือนในเทวโลก
ครั้นได้บ้านเรือนแล้ว แต่ยังขาดน้ำดื่ม พวกเปรตก็มาบอกกล่าวให้พระเถระฟัง ท่านจึงตักน้ำเต็มธรรมกรก แล้วถวายสงฆ์ที่มาจากสี่ทิศอุทิศส่วนกุศลไปให้อีก น้ำก็เกิดมีขึ้นทันที
สุดท้าย พวกเขามาบอกว่าเวลาจะไปไหนมาไหนเดินทางลำบาก อยากได้พาหนะสักอย่าง พระเถระจึงได้นำรอง เท้าไปถวายแก่พระสงฆ์ แล้วพาหนะก็เกิดมีขึ้นแก่เปรต
เปรตทั้งหมดเมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็เข้าไปหา พระเถระพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านได้ช่วยเหลือพวกข้าพเจ้า ได้ให้ข้าว ผ้านุ่ง ผ้าห่ม บ้าน น้ำดื่ม และพาหนะแก่พวกข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จึงมาเพื่อจะไหว้ ท่านผู้เป็นมุนี มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกหาประมาณมิได้”
ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ควรจะประมาท ควรรีบขวนขวายทำบุญกุศลไว้ให้มากๆ หลังจากตายไปแล้วหากไปเกิดในนรก เป็นเปรต ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญเหมือนในโลกมนุษย์ ทำได้เพียงรอผลบุญที่คนอื่นทำไปให้เท่านั้น หากไม่มีใครทำบุญอุทิศไปให้ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนหมดเวรหมดกรรม หากไม่อยากเป็นเช่นนั้นก็จงรีบทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลตั้งแต่วินาทีนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 100 มี.ค. 52 โดยมาลาวชิโร)