xs
xsm
sm
md
lg

ผู้อยู่ในสถานะใดที่มีโอกาสเข้าสู่กระแสพระนิพพาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา
ผู้อยู่ในสถานะใด ที่มีโอกาสเข้าสู่กระแสพระนิพพาน

วิสัชนา
พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตว์นรกยากต่อการที่จะมาเดินทางพระนิพพาน สัตว์เดรัจฉานก็ยาก เพราะมีความทุกข์เป็นอารมณ์อยู่ จึงมีคำพูดเอาไว้ 2 ประเด็นว่า เทวดา พรหม ยากต่อการที่จะเข้ามาเดินทาง เพราะหลงในสุข เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ยากต่อการจะเข้ามาเดินในทางมัชฌิมาปฏิปทา เพราะติดอยู่ในทุกข์ มีบุคคลผู้เดียว ประเภทเดียวเท่านั้น ที่พระศาสดาทรงเรียกว่าเป็นทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นเอกวิถีและเป็นเอกหนทางทั้งหลาย เป็นเอกบุคคล เป็นเอกบุรุษ ที่จะเดินเข้าไปได้ในหนทางแห่งคนคนเดียวเดินไปได้

คำว่าคนคนเดียวในที่นี้หมายความว่า ไม่มีลูก ไม่มีผัว ไม่มีเมีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีทั้งข้าราชบริวารทั้งหญิงชาย ไม่มี อะไรๆ แม้แต่ตัวกูของกูก็ต้องไม่มี มันจึงจะเดินเข้าไปในทางนี้ได้ มันเป็นทางแคบๆ สำหรับสัตว์นรกและเทวดา แต่มันเป็นทางกว้างๆ สำหรับคนที่มีค่าและมีสติปัญญา นั่นคือ มัชฌิมาปฏิปทา

และเมื่อเดินทางเข้าไป มันจะยิ่งกว้างใหญ่โตมโหฬาร จนทำให้ชีวิตเข้าไปถึงพระนิพพาน สติปัญญา สมาธิ พลังอำนาจ ก็กว้างใหญ่โตตามไปด้วย มีลักษณะเช่นนี้ แต่ทางเข้ามันช่างแคบ สังเกตดูได้ว่า การที่เรา มาบวชนี้ เพียงเพื่อจะทำให้ชีวิตของตนมีสัมมาทิฐิ คือ ความเห็นที่ตรงและถูกต้อง

พระพุทธเจ้าของเราตรัสว่า ธรรมะของเราเป็นธรรมะที่ฝืนโลก คือ ธรรมะที่รักษาโรค บางคนเป็นแผลแล้วก็ไม่อยากใส่ยา เพราะมันแสบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าใส่ยาแล้วก็จะหาย แต่ก็ไม่ยอมใส่ แล้วแผลนั้นก็เน่าเฟะ เพราะฉะนั้น การใส่ยาให้แก่ตัวเองก็ถือว่าเป็นการเดินเข้าไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา เริ่มต้นด้วยความคับแคบต่างจากสัตว์นรก เทวดา พรหม อันมีหนทางที่กว้าง

หนทางพระนิพพาน หนทางการทำความดีนั้้น เป็นหนทางที่เดินเข้าไปยากมันแคบเท่ารูเข็ม แต่ตอนที่จะออกมันง่ายเหลือเกิน ลองถามดูก็ได้ว่าการบวชนี้ลำบากไหม ถ้าลำบากก็แปลว่ายังไม่ชิน เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายที่มานั่งอยู่ที่นี่ ก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่เข้ามาสู่หนทางของบุรุษผู้เอก สตรีผู้เอก คือไม่มีอะไรต้องแบกเอาไป ถ้าแบกเอาไปคงไปไม่ได้ไกล ก็คือความตายเข้ามาหา แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาอีกสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เพื่อที่จะเข้าสู่หนทางอันนี้อีก คงจะเป็นไปได้ยาก

สัตว์นรกนั้นจะเกิดมาเป็นคนนั้นยาก คนจะเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย พรหมและเทวดาจะจุติมาเป็นคนนั้นก็ยาก แต่พรหมและเทวดาจะจุติเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย มนุษย์จะเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็ยาก เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคน ถือว่าเป็นบุญลาภอันวิเศษ ที่เราต้องเดินเข้าไปปลดระเบิดเวลาให้เร็วที่สุด

อะไรคือชนวนระเบิดของเรา
ความตายของเรายังไงล่ะ ความตายที่เขาวางมาให้ว่า 20 ปีจะต้องตาย โดยที่ 20 ปีนี้ จะเดินเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไหม เข้าถึงนิพพานได้ไหม เข้าถึงนิพพานก่อนตาย เวลานี้อันนี้ก็ถือว่าชนวนมันฝ่อไม่ต้องกลับมา แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะเดินเข้าไปได้ และยังหลงระเริงประมาทละเมอเพ้อพก หมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร มีความฉิบหายในอารมณ์ต่อไปไม่จบสิ้น ก็ถือว่าคนเราเดินเซเหมือนคนเมา สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นคนอีก

เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกพวกเราลูกหลานทั้งหลายว่า รักตัวเองบ้าง อย่าให้คนอื่นเขามารักตัวเองนัก ไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามารักตัวเอง และก็ไม่มีใครเขารักเราเท่ากับเรารักตัวเอง และเมื่อใดที่เรารักตัวเองได้ ก็ถือว่าเรารู้จักประโยชน์ตัวเองแท้ๆ ไม่ใช่การมีเมียมาก มีลูกมาก มีรถมาก มีเรือนใหญ่ มีสมบัติเยอะ มีเงินกองโต มีเกียรติยศอันมั่นคง

ประโยชน์ของตัวเองที่ แท้จริง คือการเรียนรู้ชีวิต และศิลปะภายในการดำรงชีวิตของตนว่า ทำยังไงเราถึงสามารถเข้าไปอยู่ในหนทางแห่ง มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคปฏิบัติได้ หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรงแนว ทำความเห็นข้อแรกให้ถูกต้อง มีสติพิจารณา มีการกล่าววาจาอย่างมีสติ มีความตั้งมั่นใน สิ่งที่ถูกต้องตรงแนวบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อไป เราต้องสามารถทำความเห็นให้เป็นปกติ โดยเฉพาะการเห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ส่วนใหญ่แล้วพวกวัยดอกไม้บานจะมีข้อเสีย เพราะชีวิตเป็นดอกไม้ที่รื่นเริงบันเทิงอยู่ในหมู่ภมรมนตรีและแมลงภู่ผึ้งทั้งหลาย โดยไม่ใส่ใจว่าตัวเองต้องเหี่ยวอับเฉาในที่สุด การที่เรารีบเบ่งบานขึ้นมารับแสงเดือน แสงตะวันนั้น มีประโยชน์แล้วก็ยังมีโทษมหันต์ เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่จะรับแสงเดือนแสงตะวัน บางทีเราก็ต้องเหี่ยวเฉาไปในเร็ววัน นั่นคือ ความตายเข้ามาหา

การเกิดมามีชีวิตแล้ว ทุกคนย่อมต้องทำหน้าที่ของตัวเอง บุคคลที่เกิดมาก็เหมือนกับเกิดมาเล่นละคร มาเล่นเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นตา เป็นยาย ฯลฯ ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะเล่นบทบาทของตนได้ดีแค่ไหน พอตายแล้วก็แปลว่า เขาเลิกจ้าง

ชีวิต คือ โรงละคร พอตาย แล้วไม่สามารถจะเอาอะไรติดตัวไปได้

เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสพระนิพพานเกิดได้ในสัตว์ทุกประเภท มันขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นสัตว์ประเภทไหน คนประเภทไหน หมายถึงมีสติปัญญาระดับไหน ขนาดไหน ที่สามารถจะรู้ว่าชีวิตของตนนั้นมีสาระแก่นสารอะไรบ้าง และการดำเนินชีวิตของตน เกิดมาเพื่ออะไร ที่หลวงปู่เคยเขียนไว้ว่า ท่านมาทำไม... มาเพื่ออะไร... มาแล้วได้อะไร และถ้าไป... ไปอยู่ที่ไหน แล้วเกิดประโยชน์อะไรกับการมา สุดท้ายต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า... เราต้องตาย

ถ้ารู้จักถามตัวเองอย่างนั้นบ่อยๆ ก็คงจะทำอะไรอย่างมีสติ และให้เป็นไปตามบทบาท คนเป็นพ่อแม่ก็เหมือนกัน เลี้ยงลูกมาจนแก่ใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ยังเลี้ยงกันต่อไป จริงๆ แล้วไม่ได้เลี้ยงลูกหรอก เลี้ยงกิเลสของลูกมากกว่า

หลวงปู่จึงบอกกับลูกหลาน ตอนมาบวชเณร แล้วเณรร้องไห้ อยากกลับบ้าน แม่ก็โอ๋ พ่อก็โอ๋ จะเอาลูกกลับ แล้วคนที่ร้องไห้แต่พ่อแม่ไม่ให้กลับ วันสึกเณรไม่อยากกลับบ้านอีก แสดงว่าตอนที่ร้องนั้นมีกิเลส แต่ตอนที่ไม่ร้องนั้นไม่มีกิเลส พ่อแม่ไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะเอาใจลูก สนับสนุนลูกให้ทำความชั่วตามกิเลสที่คำนึงนึกถึงไป

หลวงปู่ก็ถามว่า จะเลี้ยงลูกเอาตัวลูกหรือเอากิเลสของลูก แต่ถ้าเลี้ยงเพื่อจะเอาตัวลูก พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้โดนเคาะ ขัดเกลา ถ้าคิดจะเอาทั้งลูกตัวเองและเอาทั้งกิเลสด้วย ก็หอบลูกออกไปจากวัดได้เลย สำหรับพระเณรทั้งหลาย เขาฉันอาหารเพื่อให้กิเลสตาย แต่ชาวประชาหน้าใสและชาวบ้านทั้งหลาย กินเพื่อให้กิเลสโต หลวงปู่ขอบอกความจริงกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสนิพพานนั้น มันมีด้วยกันทุกคน เว้นแต่ใครจะเดินไปหรือไม่เท่านั้นเอง และทุกคนก็มีสิทธิจะเดินหรือหยุดเดิน สิทธิอันนี้พระเจ้าองค์ใดก็ไม่ได้ดลบันดาล เราเป็นผู้ดลบันดาลชีวิตเรา ให้ยอมเดินหรือไม่ยอมเดินเท่านั้นเอง แล้วมีกี่คนที่จะรู้ขนาดนั้น มีกี่คนที่จะวาง ละเว้นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ต้องบอกว่า มันเป็นเครื่องล่อให้หยุดการเดินทาง เช่น กิน กาม เกียรติ โกรธ อะไรก็แล้วแต่ โลดโผนโจนทะยานออกไปแล้ว กระโดดออกไปนอกทาง จะเข้ามาอีกก็ไม่ได้แล้ว

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายเอก เป็นของบุคคลผู้เอก คือ บุคคลเดียวที่เดินได้เท่านั้น ขึ้นต้นด้วย ความคับแคบ แต่เต็มไปด้วย ความกว้างขวางในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น