ชีวิตเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ยากที่จะเข้าใจ บางครั้งดูเหมือนว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเสียเลย คนทำดีแต่ประสบแต่เรื่องร้ายๆ คนทำชั่วกลับประสบแต่สิ่งดีๆ ในความเป็นจริงนั้นโลกเรามีความยุติธรรมเท่ากันทุกชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์ที่สลับซับซ้อนอันเป็นกลไกอยูข้างหลังได้หรือไม่เท่านั้นเอง กล ไกเหล่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ที่มีระเบียบแบบแผน ตรงไปตรงมา ตามเหตุปัจจัยที่เราสร้างไว้ เราเรียกกลไกนี้ว่า “กฏแห่งกรรม” มันจะทำหน้าที่ของมันเอง ไม่มีใครที่จะขัดขวางได้ ทุกคนล้วนต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ทั้งนั้น การไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของกฎแห่งกรรมทั้งหมดทำให้เราทึกทักเอาว่า กฎแห่งกรรมไม่ยุติธรรม แต่หากเข้าใจชัดเจนแล้วก็จะเห็นว่า กฎแห่งกรรมนั้นเที่ยง ธรรมที่สุด และให้ผลสมกับเหตุปัจจัยทุกประการ ดังเรื่องต่อไปนี้
เมืองพาราณสีในอดีตกาล หญิงสาวยากจนคนหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวทาฝาเรือน ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเข้าไปในเมืองเพื่อขอดินเหนียวไปโบกเงื้อมผาที่ท่านใช้สำหรับนั่งสมาธิภาวนา พอนางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็โกรธ จึงจ้องหน้าท่านแล้วกล่าวว่า
“สมณะ ท่านยังไม่ได้ดินเหนียวเลยหรือ?” ว่าแล้วนาง ก็ถือก้อนดินเหนียวก้อนใหญ่ไปวางลงในบาตรของท่านอย่างแรง พระปัจเจกพุทธเจ้ารับดินเหนียวนั้นแล้วก็เดินจากไป
หลังจากนางตายจากภพนั้นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นลูกสาวของคนจนอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูเมืองพาราณสี และ เพราะผลกรรมที่นางโกรธแล้วจ้องดูพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง ทำให้นางมีรูปร่างหน้าตาขี้เหร่ อัปลักษณ์ เหตุนี้เองชาวบ้านจึงมักเรียกนางว่า “ปัญจปาปา” แต่ถึงจะ ขี้เหร่อย่างไร นางก็มีผัสสะอันเป็นทิพย์ หากใครได้แตะต้องนางเป็นต้องหลงใหล ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผลจากการถวายก้อนดินเหนียวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง
พระเจ้ากรุงพาราณสีในเวลานั้น ทรงพระนามว่า “พกะ” คืนวันหนึ่ง พระองค์ทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนเพื่อเสด็จออกไปตรวจดูชาวบ้าน และได้เสด็จไปถึงหมู่บ้านที่นางปัญจปาปาอยู่ ขณะนั้นนางปัญจปาปากำลังวิ่งเล่นอยู่กับพวกเด็กหญิงชาวบ้าน ไม่ทันระวังตัว จึงไปจับถูกพระหัตถ์ของพระราชาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อพระองค์ทรงต้องผัสสะทิพย์อันเป็นทิพย์ของนาง ก็ทรงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หลงใหลในผัสสะนั้นยิ่งนัก จึงทรงถามว่านางเป็นลูกใคร มีสามีหรือยัง นางก็บอกว่าเป็น ลูกของคนที่อยู่ใกล้ประตูเมืองนี่เอง และยังไม่มีสามี พระราชาจึงไปสู่ขอกับบิดามารดาของนางทันที เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระราชาจึงอยู่ร่วมกับนางที่บ้านนั้นเอง
พอถึงรุ่งเช้าพระราชาก็เสด็จกลับเข้าวัง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ไม่เคยทรงปรารถนาผู้หญิงคนอื่นมาเป็นคู่ครองอีกเลย ทรงปลอมพระองค์ออกไปหานางปัญจปาปาอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง บิดาของนางเกิดเจ็บป่วย และยาที่จะทำให้หายได้นั้น ต้องใช้ข้าวปายาสผสมด้วยนมสด น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด แต่พวกเขาหาส่วนผสมเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นคนยากจน มารดาของนางปัญจปาปาจึงบอกลูกสาวให้ลองถามสามีดูว่าพอจะหาส่วนผสมยานี้ได้บ้างหรือเปล่า
สามีซึ่งเป็นพระราชาที่ปลอมตัวมาได้บอกกับนางว่า เป็นยาของคนใหญ่คนโต เราจะหามาจากที่ไหน? เหตุที่พระองค์กล่าวอย่างนั้นก็เพราะต้องการที่จะหาอุบายนำนางไปอยู่ด้วยในวัง ดังนั้น วันรุ่งขึ้นพระองค์จึงเสด็จกลับวังแล้วรับสั่งให้หุงข้าวปายาส จัดทำเป็น ๒ ห่อ โดยห่อหนึ่งใส่ไว้ในปิ่นมณี หลังจากนั้นพระองค์ก็แอบออกมาจากวังในเวลากลางคืน เพื่อนำข้าวปายาสมาให้บิดาของนาง หลังจากบิดาได้บริโภคแล้วก็หายเป็นปกติ
วันรุ่งขึ้น หลังจากพระราชาเสด็จกลับเข้าวังแล้ว ก็รับสั่งให้อำมาตย์นำปิ่นมณีมาให้ อำมาตย์ได้ทูลว่า ไม่เห็น ปิ่นมณี ดังนั้นพระองค์จึงทรงออกอุบายสั่งให้ค้นทุกที่ทุกแห่ง ตั้งแต่ภายในวัง จนถึงนอกวัง ในที่สุดพวกเจ้าหน้าที่ ก็พบปิ่นมณีในบ้านของนางปัญจปาปา จึงจับมารดา บิดาของนางไปให้พระราชา ทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้ขโมยมา แต่ลูกเขยเป็นผู้นำมาให้ เจ้าหน้าที่จึงสอบถามถึงลูกเขยว่าอยู่ที่ไหน ทั้งคู่บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ลูกสาวรู้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ถามนางปัญจปาปา นางตอบว่า
“เขามักจะมาหาฉันในเวลามืด และกลับไปในเวลาเช้ามืดเหมือนกัน ฉันจึงไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเขา แต่ถ้าหากได้สัมผัสเขาหรือจับมือเขา ฉันจะบอกได้ว่าเป็นใคร”
เจ้าหน้าที่จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงให้หญิงนี้ยืนอยู่ในม่าน แล้วเจาะช่องม่านประมาณเท่ามือ ให้นางจับขโมยด้วยการให้สัมผัสที่มือ”
พวกเจ้าหน้าที่จึงให้ผู้ชายในเมืองทุกคนมารวมกันทั้งหมด แล้วให้นางปัญจปาปาจับมือของแต่ละคน ซึ่งหลังจากจับมือของทุกคนแล้วนางก็บอกว่าไม่ใช่สามีของนาง ซึ่งขโมยปิ่นมณี แต่ผู้ชายทุกคนที่ถูกนางจับมือล้วนเกิดความติดใจหลงใหลในผัสสะอันเป็นทิพย์ของนาง และอยากได้นางมาเป็นภรรยา จึงเกิดแก่งแย่งกัน จนเจ้าหน้าที่ต้องไล่ทั้งหมดออกไป คงเหลือเพียงพระราชาองค์เดียวเท่านั้นที่นางยังไม่ได้สัมผัสมือ ดังนั้นพระราชาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ไปให้จับ เมื่อนางได้สัมผัสก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า “เราจับขโมยได้แล้ว”
ในที่สุดพระราชาจึงตรัสบอกความจริงแก่ทุกคน พร้อมกับให้จัดงานอภิเษกนางเป็นอัครมเหสี ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ก็ทรงไม่สนพระทัยใครอีกเลย ทำให้นางสนมคนอื่นๆ พากันอิจฉา พยายามหาเรื่องกลั่นแกล้งนางอยู่เป็นประจำ
ต่อมาวันหนึ่ง พระนางฝันว่าจะได้เป็นอัครมเหสีของพระราชา ๒ พระองค์ จึงได้บอกให้พระราชาทรงทราบ พระองค์จึงให้คนมาทำนายฝัน โดยในความฝันนั้น พระนางได้ประทับนั่งบนคอช้างเผือก เป็นบุรพนิมิตว่าพระราชาจะสวรรคต และทรงลูบคลำพระจันทร์ขณะอยู่บนคอช้าง หมายถึงว่า พระราชาเมืองอื่นผู้เป็นศัตรูของพระองค์จะมาเป็นใหญ่ พระราชาจึงถามว่า แล้วจะทำอย่างไร พวกอำมาตย์จึงแนะนำให้ทรงนำพระนางลงเรือ แล้วปล่อยไปในเวลากลางคืน พระราชาก็ทรงทำตามนั้น
คืนนั้นพระราชาอีกเมืองหนึ่งกำลังสรงน้ำอยู่ เห็นพระนางลอยมากับเรือ จึงตรัสถามว่า
“หน้าตาเจ้าเหมือนปีศาจ เจ้าชื่ออะไร” เมื่อพระนางทูลความจริงทั้งหมดแล้ว ก็ได้จับมือพระราชาองค์นี้อีก พระองค์ก็ทรงติดใจในสัมผัสอีก จึงทรงนำพระนางมาเป็นอัครมเหสี
ฝ่ายพระราชาแห่งพาราณสี ทราบความนั้นจึงอยากไปขอนางคืน จึงยกกองทัพไปเพื่อเตรียมจะรบหากไม่ได้นางคืน แต่เหล่าอำมาตย์เกลี้ยกล่อมไว้ เนื่องจากว่าการรบราฆ่าฟันกันเพราะผู้หญิงคนเดียวนั้น ไม่สมควร ดังนั้น พระราชาทั้งสองจึงตกลงกันให้นางอยู่ร่วมกับทั้ง สองพระองค์ นางจึงได้สามีเป็นพระราชาทั้งสองพระองค์ตั้งแต่นั้นมา
นี่แหละคือความตรงไปตรงมาของกฎแห่งกรรม สิ่งไหนที่ทำดีก็ให้ผลดี สิ่งไหนที่ทำไม่ดี ก็ให้ผลไม่ดี ฉะนั้นเวลาทำความดี ควรทำด้วยใจที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้ เราจะได้รับบุญที่บริบูรณ์เต็มที่ทุกประการ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 107 ตุลาคม 2552 โดยมาลาวชิโร)
เมืองพาราณสีในอดีตกาล หญิงสาวยากจนคนหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวทาฝาเรือน ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเข้าไปในเมืองเพื่อขอดินเหนียวไปโบกเงื้อมผาที่ท่านใช้สำหรับนั่งสมาธิภาวนา พอนางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็โกรธ จึงจ้องหน้าท่านแล้วกล่าวว่า
“สมณะ ท่านยังไม่ได้ดินเหนียวเลยหรือ?” ว่าแล้วนาง ก็ถือก้อนดินเหนียวก้อนใหญ่ไปวางลงในบาตรของท่านอย่างแรง พระปัจเจกพุทธเจ้ารับดินเหนียวนั้นแล้วก็เดินจากไป
หลังจากนางตายจากภพนั้นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นลูกสาวของคนจนอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูเมืองพาราณสี และ เพราะผลกรรมที่นางโกรธแล้วจ้องดูพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง ทำให้นางมีรูปร่างหน้าตาขี้เหร่ อัปลักษณ์ เหตุนี้เองชาวบ้านจึงมักเรียกนางว่า “ปัญจปาปา” แต่ถึงจะ ขี้เหร่อย่างไร นางก็มีผัสสะอันเป็นทิพย์ หากใครได้แตะต้องนางเป็นต้องหลงใหล ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผลจากการถวายก้อนดินเหนียวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง
พระเจ้ากรุงพาราณสีในเวลานั้น ทรงพระนามว่า “พกะ” คืนวันหนึ่ง พระองค์ทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนเพื่อเสด็จออกไปตรวจดูชาวบ้าน และได้เสด็จไปถึงหมู่บ้านที่นางปัญจปาปาอยู่ ขณะนั้นนางปัญจปาปากำลังวิ่งเล่นอยู่กับพวกเด็กหญิงชาวบ้าน ไม่ทันระวังตัว จึงไปจับถูกพระหัตถ์ของพระราชาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อพระองค์ทรงต้องผัสสะทิพย์อันเป็นทิพย์ของนาง ก็ทรงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หลงใหลในผัสสะนั้นยิ่งนัก จึงทรงถามว่านางเป็นลูกใคร มีสามีหรือยัง นางก็บอกว่าเป็น ลูกของคนที่อยู่ใกล้ประตูเมืองนี่เอง และยังไม่มีสามี พระราชาจึงไปสู่ขอกับบิดามารดาของนางทันที เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระราชาจึงอยู่ร่วมกับนางที่บ้านนั้นเอง
พอถึงรุ่งเช้าพระราชาก็เสด็จกลับเข้าวัง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ไม่เคยทรงปรารถนาผู้หญิงคนอื่นมาเป็นคู่ครองอีกเลย ทรงปลอมพระองค์ออกไปหานางปัญจปาปาอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง บิดาของนางเกิดเจ็บป่วย และยาที่จะทำให้หายได้นั้น ต้องใช้ข้าวปายาสผสมด้วยนมสด น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด แต่พวกเขาหาส่วนผสมเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นคนยากจน มารดาของนางปัญจปาปาจึงบอกลูกสาวให้ลองถามสามีดูว่าพอจะหาส่วนผสมยานี้ได้บ้างหรือเปล่า
สามีซึ่งเป็นพระราชาที่ปลอมตัวมาได้บอกกับนางว่า เป็นยาของคนใหญ่คนโต เราจะหามาจากที่ไหน? เหตุที่พระองค์กล่าวอย่างนั้นก็เพราะต้องการที่จะหาอุบายนำนางไปอยู่ด้วยในวัง ดังนั้น วันรุ่งขึ้นพระองค์จึงเสด็จกลับวังแล้วรับสั่งให้หุงข้าวปายาส จัดทำเป็น ๒ ห่อ โดยห่อหนึ่งใส่ไว้ในปิ่นมณี หลังจากนั้นพระองค์ก็แอบออกมาจากวังในเวลากลางคืน เพื่อนำข้าวปายาสมาให้บิดาของนาง หลังจากบิดาได้บริโภคแล้วก็หายเป็นปกติ
วันรุ่งขึ้น หลังจากพระราชาเสด็จกลับเข้าวังแล้ว ก็รับสั่งให้อำมาตย์นำปิ่นมณีมาให้ อำมาตย์ได้ทูลว่า ไม่เห็น ปิ่นมณี ดังนั้นพระองค์จึงทรงออกอุบายสั่งให้ค้นทุกที่ทุกแห่ง ตั้งแต่ภายในวัง จนถึงนอกวัง ในที่สุดพวกเจ้าหน้าที่ ก็พบปิ่นมณีในบ้านของนางปัญจปาปา จึงจับมารดา บิดาของนางไปให้พระราชา ทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้ขโมยมา แต่ลูกเขยเป็นผู้นำมาให้ เจ้าหน้าที่จึงสอบถามถึงลูกเขยว่าอยู่ที่ไหน ทั้งคู่บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ลูกสาวรู้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ถามนางปัญจปาปา นางตอบว่า
“เขามักจะมาหาฉันในเวลามืด และกลับไปในเวลาเช้ามืดเหมือนกัน ฉันจึงไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเขา แต่ถ้าหากได้สัมผัสเขาหรือจับมือเขา ฉันจะบอกได้ว่าเป็นใคร”
เจ้าหน้าที่จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงให้หญิงนี้ยืนอยู่ในม่าน แล้วเจาะช่องม่านประมาณเท่ามือ ให้นางจับขโมยด้วยการให้สัมผัสที่มือ”
พวกเจ้าหน้าที่จึงให้ผู้ชายในเมืองทุกคนมารวมกันทั้งหมด แล้วให้นางปัญจปาปาจับมือของแต่ละคน ซึ่งหลังจากจับมือของทุกคนแล้วนางก็บอกว่าไม่ใช่สามีของนาง ซึ่งขโมยปิ่นมณี แต่ผู้ชายทุกคนที่ถูกนางจับมือล้วนเกิดความติดใจหลงใหลในผัสสะอันเป็นทิพย์ของนาง และอยากได้นางมาเป็นภรรยา จึงเกิดแก่งแย่งกัน จนเจ้าหน้าที่ต้องไล่ทั้งหมดออกไป คงเหลือเพียงพระราชาองค์เดียวเท่านั้นที่นางยังไม่ได้สัมผัสมือ ดังนั้นพระราชาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ไปให้จับ เมื่อนางได้สัมผัสก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า “เราจับขโมยได้แล้ว”
ในที่สุดพระราชาจึงตรัสบอกความจริงแก่ทุกคน พร้อมกับให้จัดงานอภิเษกนางเป็นอัครมเหสี ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ก็ทรงไม่สนพระทัยใครอีกเลย ทำให้นางสนมคนอื่นๆ พากันอิจฉา พยายามหาเรื่องกลั่นแกล้งนางอยู่เป็นประจำ
ต่อมาวันหนึ่ง พระนางฝันว่าจะได้เป็นอัครมเหสีของพระราชา ๒ พระองค์ จึงได้บอกให้พระราชาทรงทราบ พระองค์จึงให้คนมาทำนายฝัน โดยในความฝันนั้น พระนางได้ประทับนั่งบนคอช้างเผือก เป็นบุรพนิมิตว่าพระราชาจะสวรรคต และทรงลูบคลำพระจันทร์ขณะอยู่บนคอช้าง หมายถึงว่า พระราชาเมืองอื่นผู้เป็นศัตรูของพระองค์จะมาเป็นใหญ่ พระราชาจึงถามว่า แล้วจะทำอย่างไร พวกอำมาตย์จึงแนะนำให้ทรงนำพระนางลงเรือ แล้วปล่อยไปในเวลากลางคืน พระราชาก็ทรงทำตามนั้น
คืนนั้นพระราชาอีกเมืองหนึ่งกำลังสรงน้ำอยู่ เห็นพระนางลอยมากับเรือ จึงตรัสถามว่า
“หน้าตาเจ้าเหมือนปีศาจ เจ้าชื่ออะไร” เมื่อพระนางทูลความจริงทั้งหมดแล้ว ก็ได้จับมือพระราชาองค์นี้อีก พระองค์ก็ทรงติดใจในสัมผัสอีก จึงทรงนำพระนางมาเป็นอัครมเหสี
ฝ่ายพระราชาแห่งพาราณสี ทราบความนั้นจึงอยากไปขอนางคืน จึงยกกองทัพไปเพื่อเตรียมจะรบหากไม่ได้นางคืน แต่เหล่าอำมาตย์เกลี้ยกล่อมไว้ เนื่องจากว่าการรบราฆ่าฟันกันเพราะผู้หญิงคนเดียวนั้น ไม่สมควร ดังนั้น พระราชาทั้งสองจึงตกลงกันให้นางอยู่ร่วมกับทั้ง สองพระองค์ นางจึงได้สามีเป็นพระราชาทั้งสองพระองค์ตั้งแต่นั้นมา
นี่แหละคือความตรงไปตรงมาของกฎแห่งกรรม สิ่งไหนที่ทำดีก็ให้ผลดี สิ่งไหนที่ทำไม่ดี ก็ให้ผลไม่ดี ฉะนั้นเวลาทำความดี ควรทำด้วยใจที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้ เราจะได้รับบุญที่บริบูรณ์เต็มที่ทุกประการ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 107 ตุลาคม 2552 โดยมาลาวชิโร)