xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คนไทยเสี่ยงภัยสมองเสื่อม
พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ และพญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน์ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลจากการคาดการณ์ความชุกของภาวะสมองเสื่อมทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค ช่วงเวลาประมาณ 50 ปีจากนี้ไปว่า จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าวิตก
รายงานของกลุ่มทำงานด้านสมองเสื่อมในเขตพื้นที่เอเชียแปซิฟิก สรุปได้ว่าในปี 2548 มีผู้ป่วยสมองเสื่อมในภูมิภาคนี้มากถึง 13.7 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 64.6 ล้านคน ในอีก 50 ปีข้างหน้า
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยภาวะสมองเสื่อม ประมาณ 229,000 คน และคาดว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งเท่าตัว เป็น 450,000 คน และภายใน 50 ปีจะเพิ่มมากกว่าล้านคน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยด้วยภาวะสมองเสื่อม 1 คน ต้องใช้ผู้ดูแลอย่างน้อย 2 คน นำมาซึ่งปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หากญาติในครอบครัวเป็นผู้ดูแลจะมีค่าดูแลประมาณ 4,000-6,000 บาทต่อเดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่รวมค่ายาและค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางอ้อมของผู้ดูแล เช่น การต้องลาออกจากงาน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้ดูแลผู้ป่วยเอง และค่ารักษาพยาบาลในยามตนเองเจ็บป่วย เป็นต้น และอาจต้องเพิ่มเป็น 8,000-16,000 บาทต่อเดือน หากผู้ป่วยมีอาการ หนักจนต้องจ้างผู้ดูแลเพิ่ม

แพทย์จีนเตือนอย่าใช้สมุนไพรพร่ำเพรื่อ เสี่ยงได้โรคแถม-ก่อผลข้างเคียง
ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A (H1N1) กำลังระบาดในประเทศ พบว่าปัจจุบันผู้บริโภคในจีนนิยมหาซื้อตัวยาสมุนไพรจีนบางตัว เช่น ปั่นหลันเกิน และ โป๊ยกั๊ก ซึ่งมีสรรพคุณรักษาโรคหวัด มารับประทานเองเพื่อป้องกันโรค
หลิว ชิงเฉวียน ผู้เชี่ยวชาญแห่งสำนักงานควบคุมยาแผนจีนกล่าวว่า ตัวยาปั่นหลันเกินนั้นมีสรรพคุณ ขับร้อนขับพิษ แต่จะสามารถยับยั้งแบคทีเรียหรือไม่นั้น ยังไม่มีการวิจัยยืนยันที่แน่ชัด แม้ว่าสมุนไพรจีนได้รับการยอมรับในการ รักษาโรคมาช้านาน อย่างไรก็ตามหลิวระบุว่า ประสิทธิภาพของสมุนไพรจีนก็ยังคงด้อยกว่ายาทามิฟลู ซึ่งเป็นยาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคน แต่สำหรับปั่นหลันเกินและโป๊ยกั๊ก หรือที่คนไทยเรียก“จันทน์แปดกลีบ” ไม่ได้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสตามที่คนทั่วไปเข้าใจ เพราะยังต้องนำไปผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนอีกหลายขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเนื่องจากมีกระแสข่าวว่าโป๊กกั๊ก ที่นำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตยาทามิฟลู ยาต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำให้ประชาชนแห่ซื้อเพื่อกักตุน เป็นจำนวนมาก

วิจัยพบ10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง
นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำวิจัยเรื่อง “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” เพราะวิตามินกลุ่มนี้จัดเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่มีส่วนช่วยซึ่งกันและกันในการทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ และยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของขบวนการออกซิเดชั่น ผลไม้หลายๆอย่างมีวิตามิน 3 ตัวนี้มากพอสมควร
จากการศึกษาผลไม้ 83 ชนิดพบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้ล้วนมีเนื้อสีเหลืองและสีหลืองเข้ม
ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอรี มะละกอสุก ส้มโอขาวแตงกวา และพุทราแอปเปิ้ล
สำหรับวิตามินอีมีในผลไม้ไม่มากนักเพราะผลไม้ไม่ใช่แหล่งของวิตามินอี และในการศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำสุก แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตรอเบอรี และกล้วยไข่
ผลไม้ประเภทเดียวกันแต่สีไม่เหมือนกัน จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนไม่เท่ากัน เช่นแคนตาลูปเนื้อสีเหลืองและแคนตาลูปเนื้อสีเขียว หรือสับปะรดต่างชนิดกัน ได้แก่สับปะรดภูเก็ต สับปะรดภูแล สับปะรดศรีราชา
และในการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยทั้ง 3 ตัวคือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิ้ล ส่วนผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

คอหนาเสี่ยงโรคหัวใจ
นักวิจัยจากศูนย์ศึกษาโรคหัวใจ เฟรมมิ่ง แฮม สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำการศึกษากลุ่มอาสาสมัครชาย-หญิง กว่า 3,300 คน ที่มีอายุเฉลี่ย 51 ปี โดยผู้ชายมีขนาดรอบคอเฉลี่ย 40.5 ซม. ส่วนผู้หญิงเฉลี่ย 34.2 ซม. ผลการศึกษาพบว่า ผู้ชายจะมีระดับโคเลสเตอรอลชนิดดีในกระแสเลือดลดลง 2.2 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ส่วนผู้หญิงจะมีน้อยลง 2.7 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ถ้ามีรอบคอเพิ่มจากระดับเฉลี่ย ทุกๆ 3 ซม. และถ้าผู้ชายมีระดับโคเลสเตอรอลชนิดดีไม่ถึง 40 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ส่วนผู้หญิงมีไม่ถึง 50 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร จะหมายถึงความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น เพราะทุกๆขนาดรอบคอที่ใหญ่ขึ้นเกือบ 3 ซม. จะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลชนิดดีลดลง หรือมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง จึงเป็นสาเหตุให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
การที่ขนาดของรอบคอสามารถบ่งบอกโรคหัวใจได้ อาจเป็นเพราะระดับไขมันที่คอจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับไขมัน ส่วนบนของร่างกาย ซึ่งมีผลต่อหัวใจนั่นเอง การวิจัยนี้ยังย้ำว่า ยิ่งคนมีทั้งขนาดรอบเอวหนาและรอบคอหนา ก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นหลายเท่า

สิงห์อมควันกินผลไม้เสี่ยงมะเร็ง
งานวิจัยจากสถาบันสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเนเธอร์แลนด์ (อาร์ไอวีเอ็ม) ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินและการสูบบุหรี่ จากประชาชน 500,000 คน ใน 10 ประเทศยุโรป นาน 8 ปีครึ่ง พบว่าคนที่กินผักผลไม้วันละอย่างน้อย 600 กรัม มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ น้อยกว่าคนที่กินวันละไม่เกิน 220 กรัม ประมาณ 20-25%
ในทางกลับกัน สำหรับสิงห์อมควัน การกินผักผลไม้กลับเพิ่มความเสี่ยงของโรคดังกล่าว
ฮันส์ แวร์ฮาเกน เจ้าหน้าที่ของอาร์ไอวีเอ็มแจงว่า ผลศึกษานี้ไม่ได้หมายความให้คนสูบบุหรี่หยุดกินผักผลไม้ แต่สิ่งที่แนะนำคือการเลิกสูบบุหรี่
ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ฟอร์ คลินิคัล นิวทริชัน ระบุว่าสารบางอย่างในผักและผลไม้อาจไปช่วยเสริมฤทธิ์สารก่อมะเร็งในควันบุหรี่

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 103 มิ.ย. 52 โดยธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น