พี่น้องชาวพันธมิตรฯ ที่รัก พรรคการเมือง นั้นมิใช่เรื่องของการอวดอ้างตัวว่าเป็นพรรค จริงอยู่ไม่ว่ากลุ่มการเมืองใด ก็สามารถรับสมอ้างตั้งสมญานามตัวเองว่าเป็นพรรคได้ หรือจดทะเบียนตั้งพรรคเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทว่า มีกลุ่มการเมืองน้อยมากเหลือเกินที่จะสามารถเติบโตกลายมาเป็น “พรรคที่แท้จริง” ที่เป็นพรรคของมวลมหาประชาชนได้
การมีพรรคมิใช่แค่เรื่องของเจตนารมณ์ทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ พรรคจะไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้เลย ถ้าหากไม่มีเจตนารมณ์รวมหมู่ของการรวมตัวก่อตั้งเป็นพรรคขึ้นมา พรรคมิใช่เรื่องของแนวคิดทางทฤษฎีแต่เพียงอย่างเดียว และก็ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคการบริหารการจัดตั้งรวบรวมผู้คนเฉยๆ แต่การจะเป็นพรรคที่แท้จริงนั้น จะต้องมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่มีชีวิตชีวาอย่างขบวนการพันธมิตรฯ ของพวกเรา เพื่อการนี้ การมีความแจ่มชัดทางแนวคิดทฤษฎีในการสร้างพรรค จะเป็นตัวช่วยให้กระบวนการอันนี้สามารถพัฒนาไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
เพื่อการนี้ พวกเราจะต้องทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างกองหน้าของพรรคกับมวลชนพันธมิตรฯ ในกระบวนการสร้างพรรคให้กระจ่างแจ้งเสียก่อน
กล่าวคือ คำว่า “กองหน้าของพรรค” ในที่นี้เราหมายถึง ความสำคัญและความจำเป็นที่พรรคของพวกเรา จะต้องมี กระบวนการในการสร้าง “ผู้ปฏิบัติงานของพรรค” ซึ่งเป็นบุคลากรที่ทุ่มเทเวลาและพลังงานส่วนใหญ่ของตนให้แก่อุดมการณ์ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรค เพื่อบรรลุแนวทางและหลักนโยบายของพรรคอย่างมียุทธศาสตร์ เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างมี วิถี ในฐานะที่เป็น ปัญญาชนออแกนิกของพรรค
ส่วนคำว่า “มวลชนของพันธมิตรฯ” ในที่นี้ เราหมายถึงความสำคัญ และความจำเป็นที่พรรคของพวกเราจะต้องมี กระบวนการในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมวลชนของพันธมิตรฯ เพื่อให้พรรคของพันธมิตรฯ กับมวลชนของพันธมิตรฯ แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งในแง่ของมุมมอง และความรู้สึกนึกคิดทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการสื่อสารสองทางอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งในท่ามกลางกระบวนการนี้ ย่อมปรากฏ มวลชนของพันธมิตรฯ จำนวนหนึ่งที่เต็มใจหรืออาสาที่จะมาเป็นผู้ปฏิบัติงานของพรรค หรือมาเป็นปัญญาชนออแกนิกของพรรค หรือมาเป็นกองหน้าของพรรค อย่างแน่นอน
เหตุที่พวกเราต้องเน้นย้ำกระบวนการข้างต้น ก็เพื่อต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่า คนของพรรคเรา จะต้องไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานทางการเมือง หรือกระหายอำนาจเพื่อตัวเองโดยมุ่งหวังจะ “หลอกใช้” ประชาชนหรือมวลชนของพรรคเพื่อมาเป็นบันไดไต่เต้าทางการเมืองของตัวเอง เหมือนอย่างพวกนักการเมืองในพรรคอื่นๆ
เพราะในขณะที่พวกนักการเมืองของพรรคการเมืองอื่นๆ มีจิตสำนึกว่า ตัวพวกเขาเองเป็น อธิการ (subject) ผู้เป็นใหญ่ ผู้ได้สิทธิอำนาจ “อันชอบธรรม” โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยผ่านการเป็น “ตัวแทน” ของประชาชน ซึ่งมีฐานะเป็นแค่ อธิกรรม (object) ที่ถูกพวกเขาหลอกใช้ หลอกซื้อ หรือหลอกให้หลงเชื่อเท่านั้น
ขณะที่พรรคการเมืองของพวกเราจะต้อง “ก้าวข้าม” ความสัมพันธ์แบบทวิภาวะ (duality) หรือความสัมพันธ์ที่เป็นคู่ตรงข้ามระหว่าง อธิการ กับ อธิกรรม (subject-object) ของนักการเมืองไทยกับประชาชนไทยดังข้างต้นให้จงได้ โดยผ่าน กระบวนการในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกองหน้าของพรรคกับมวลชนของพันธมิตรฯ ซึ่งกระบวนการนี้ประกอบขึ้นมาจากกระบวนการ 2 ส่วนด้วยกันคือ
กระบวนการภายในพรรค ในการสร้างฝึกฝน อบรม บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงานของพรรคให้เป็นปัญญาชนออแกนิกกับ กระบวนการนอกพรรค ในการมีปฏิสัมพันธ์กับมวลชนของพันธมิตรฯ เพื่อเสาะหาเปิดรับมวลชนของพันธมิตรฯ ที่มีจิตสำนึกทางการเมืองสูงส่งให้มาเป็นผู้ปฏิบัติงานของพรรค หรือผู้สนับสนุนพรรคที่เอาการเอางานในรูปแบบต่างๆ เพราะมีแต่การเปลี่ยนมุมมองในการสร้างพรรคการเมือง ในการสร้างบุคลากรทางการเมือง และในการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประชาชน เช่น ข้างต้นนี้เท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถสร้าง “การเมืองใหม่” ที่ไม่ใช่การเมืองเก่า ซึ่งเป็นการเมืองแบบอธิการ-อธิกรรม (subject-object) อันเป็นการเมืองแบบลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อหาผู้แทนที่เป็น “ประชาธิปไตยแค่ 4 วินาที” ได้
ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองของพวกเรา ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของพวกปัญญาชนออแกนิก จึง มีความจำเป็นที่จะสร้างพื้นที่ รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้แก่สิทธิและเสียงของผู้ที่ด้อยกว่า ผู้ที่ถูกปิดกั้น ผู้ที่ถูกกีดกันในสังคมให้พวกเราได้มีโอกาส และมีเวทีในการพูด ในการแสดงออกซึ่งความคิดและตัวตนของพวกเขา รวมทั้งต้องเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อ่อนแอทางสังคม และด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส
ในฐานะที่เป็นกระบวนการอันเป็นรูปธรรม และเป็นตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมในความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างพรรคของพวกเรากับมวลมหาประชาชนของพวกเรา อันเป็นความสัมพันธ์ที่มุ่งจะ “ก้าวข้าม” ความสัมพันธ์แบบอธิการ-อธิกรรม ที่ดำรงมาโดยตลอดระหว่างพรรคการเมืองไทยกับประชาชนไทยที่เป็นความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ โดยผ่านการเคลื่อนไหวของพรรคเรา ใน “การปฏิวัติการเรียนรู้” ของประชาชนคนธรรมดาให้มีความมั่นใจในตัวเอง มีความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง และส่งเสริมให้มีการเติบโตทางจิตใจหรือมีการยกระดับทางจิตแบบรวมหมู่ไปด้วยกัน
อย่างไรก็ดี พวกเราต้องทำความเข้าใจและยอมรับความจริงข้อหนึ่งร่วมกันก่อนว่า ประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่มวลชนของพันธมิตรฯ เองก็ตาม ไม่อาจ “ตาสว่าง” หรือเข้าใจแนวทางและหลักนโยบายของพรรคเราได้เองอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมดได้ ผู้ที่จะตาสว่างหรือเข้าถึงแนวทางและหลักนโยบายของพรรคได้ก่อนคือ มวลชนพันธมิตรฯ ที่เป็นกองหน้า หรือมวลชนพันธมิตรฯ ส่วนที่มีความตื่นตัวทางการเมืองมากที่สุด จนออกมาปฏิบัติการทางการเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งร่วมกับขบวนการพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
จึงเห็นได้ว่า การที่พรรคการเมืองของพันธมิตรฯ จะกลายเป็นเครื่องมือหรืออาวุธที่ทรงพลังมากอันหนึ่งของขบวนการพันธมิตรฯ ในการบรรลุภารกิจทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้าง “การเมืองใหม่” ได้นั้น การดำรงอยู่ของมวลชนพันธมิตรฯ จำนวนมากที่เป็น “กองหน้า” และมีจิตสำนึกทางการเมืองที่สูงส่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่พวกเขาเป็น “ตัวกลาง”ในการเชื่อมและหลอมรวมพรรคของพันธมิตรฯ กับมวลชนของพันธมิตรฯ และมวลมหาประชาชนทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นการป้องกันยับยั้งมิให้พรรคของพวกเรา และบุคลากรทางการเมืองของพวกเรา “เปลี่ยนธาตุแปรสี” หรือทำตัวเหินห่างแปลกแยกจากมวลชนอย่างได้ผลที่สุด
พี่น้องเอย อันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเมืองนั้น จะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ความคิด จิตสำนึก และจิตวิญญาณของผู้คนที่มุ่งมั่นจะเปลี่ยนแปลงโลกเสียก่อน
เพราะฉะนั้นแล้ว กลุ่มบุคคลหรือพลังทางสังคมใดๆ ก็ตามที่ทำการต่อสู้เพื่อยกระดับจิตสำนึกทางการเมือง และทางสังคมของประชาชนผู้คนในสังคม ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวผลักดันวาระอะไร ในวงการหรือสาขาใดๆ ก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ไหน หรือส่วนไหนของสังคมไทยก็ตาม และถึงแม้ว่า ในขณะนี้ พวกเขายังไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับพรรคของพวกเราก็ตาม
โปรดรับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า กลุ่มบุคคลและพลังทางสังคมเหล่านั้น พวกเราถือว่า พวกท่านเป็น “องค์ประกอบ” หรือเป็น “ว่าที่ส่วนหนึ่งในอนาคต” ของพวกเราทั้งสิ้น ที่เพียงรอเวลามารวมกันหรือร่วมกันจัดตั้งเครือข่ายเป็น ขุมพลังทางการเมืองแห่งสังคมเครือข่าย ร่วมกับพรรคของพวกเราเท่านั้น ต่อให้กลุ่มบุคคลหรือพลังทางสังคมเหล่านี้มีการดำรงอยู่ที่หลากหลาย หรือมีความคิดที่แตกต่างหลากหลายเพียงใดก็ตาม
ทำไม? ผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นที่มีความแตกต่างทางความคิด และมีพื้นเพทางวัฒนธรรมและระบบความเชื่อที่หลากหลาย จึงสามารถมาร่วมมือร่วมใจและร่วมงานกับพรรคของพวกเราได้ ทำไม?
ขอเพียงพวกท่านทั้งหลายเปิดใจให้กว้าง เปิดตาให้กว้างพร้อมๆ กับเหลียวมองดูความเป็นไปในบ้านเมืองของเราด้วยสายตาที่ปราศจากอคติ พร้อมๆ กันเถิด พวกท่านเห็นด้วยกับพวกเราหรือไม่ว่า ไม่เคยเลยที่จะมีคนรุ่นไหนที่ได้เห็นการล่มสลายของสถาบันจำนวนมากเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอย่างไล่เลี่ย และอย่างรวดเร็วเหมือนกับคนรุ่นเราในยุคนี้
วิกฤตเชิงสถาบันในบ้านเมืองเราไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เหมือนอย่างในยุคนี้เลย ตั้งแต่วิกฤตสถาบันชาติ วิกฤตสถาบันศาสนา วิกฤตสถาบันกษัตริย์ ไล่ไปจนถึงวิกฤตสถาบันครอบครัว วิกฤตสถาบันการศึกษา วิกฤตสถาบันการเมือง วิกฤตสถาบันสื่อ วิกฤตสถาบันตำรวจ วิกฤตสถาบันกองทัพ วิกฤตชุมชน และแม้กระทั่งวิกฤตสถาบันตุลาการ จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะส่วนที่ตัดขาดแยกออกจากกัน แต่มันเป็นเรื่องของ การล่มสลายเชิงสถาบันทั้งระบบ ซึ่งท้าทายความอยู่รอดของสังคมไทย ทั้งสังคมที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยสถาบันต่างๆ ที่กำลังสั่นคลอนอยู่ในขณะนี้
พี่น้องเอย พวกท่านทั้งหลายเอย ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ ข้างต้น ทุกคนน่าจะตระหนักได้ว่า พรรคของพวกเราคือ ความหวังของสังคมนี้ ที่จะเข้ามากอบกู้บ้านเมืองให้รอดพ้นจากความล่มสลายเชิงสถาบันทั้งระบบนี้ (ยังมีต่อ)
www.suvinai-dragon.com
การมีพรรคมิใช่แค่เรื่องของเจตนารมณ์ทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ พรรคจะไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้เลย ถ้าหากไม่มีเจตนารมณ์รวมหมู่ของการรวมตัวก่อตั้งเป็นพรรคขึ้นมา พรรคมิใช่เรื่องของแนวคิดทางทฤษฎีแต่เพียงอย่างเดียว และก็ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคการบริหารการจัดตั้งรวบรวมผู้คนเฉยๆ แต่การจะเป็นพรรคที่แท้จริงนั้น จะต้องมาจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่มีชีวิตชีวาอย่างขบวนการพันธมิตรฯ ของพวกเรา เพื่อการนี้ การมีความแจ่มชัดทางแนวคิดทฤษฎีในการสร้างพรรค จะเป็นตัวช่วยให้กระบวนการอันนี้สามารถพัฒนาไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
เพื่อการนี้ พวกเราจะต้องทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างกองหน้าของพรรคกับมวลชนพันธมิตรฯ ในกระบวนการสร้างพรรคให้กระจ่างแจ้งเสียก่อน
กล่าวคือ คำว่า “กองหน้าของพรรค” ในที่นี้เราหมายถึง ความสำคัญและความจำเป็นที่พรรคของพวกเรา จะต้องมี กระบวนการในการสร้าง “ผู้ปฏิบัติงานของพรรค” ซึ่งเป็นบุคลากรที่ทุ่มเทเวลาและพลังงานส่วนใหญ่ของตนให้แก่อุดมการณ์ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรค เพื่อบรรลุแนวทางและหลักนโยบายของพรรคอย่างมียุทธศาสตร์ เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างมี วิถี ในฐานะที่เป็น ปัญญาชนออแกนิกของพรรค
ส่วนคำว่า “มวลชนของพันธมิตรฯ” ในที่นี้ เราหมายถึงความสำคัญ และความจำเป็นที่พรรคของพวกเราจะต้องมี กระบวนการในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมวลชนของพันธมิตรฯ เพื่อให้พรรคของพันธมิตรฯ กับมวลชนของพันธมิตรฯ แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งในแง่ของมุมมอง และความรู้สึกนึกคิดทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการสื่อสารสองทางอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งในท่ามกลางกระบวนการนี้ ย่อมปรากฏ มวลชนของพันธมิตรฯ จำนวนหนึ่งที่เต็มใจหรืออาสาที่จะมาเป็นผู้ปฏิบัติงานของพรรค หรือมาเป็นปัญญาชนออแกนิกของพรรค หรือมาเป็นกองหน้าของพรรค อย่างแน่นอน
เหตุที่พวกเราต้องเน้นย้ำกระบวนการข้างต้น ก็เพื่อต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่า คนของพรรคเรา จะต้องไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานทางการเมือง หรือกระหายอำนาจเพื่อตัวเองโดยมุ่งหวังจะ “หลอกใช้” ประชาชนหรือมวลชนของพรรคเพื่อมาเป็นบันไดไต่เต้าทางการเมืองของตัวเอง เหมือนอย่างพวกนักการเมืองในพรรคอื่นๆ
เพราะในขณะที่พวกนักการเมืองของพรรคการเมืองอื่นๆ มีจิตสำนึกว่า ตัวพวกเขาเองเป็น อธิการ (subject) ผู้เป็นใหญ่ ผู้ได้สิทธิอำนาจ “อันชอบธรรม” โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยผ่านการเป็น “ตัวแทน” ของประชาชน ซึ่งมีฐานะเป็นแค่ อธิกรรม (object) ที่ถูกพวกเขาหลอกใช้ หลอกซื้อ หรือหลอกให้หลงเชื่อเท่านั้น
ขณะที่พรรคการเมืองของพวกเราจะต้อง “ก้าวข้าม” ความสัมพันธ์แบบทวิภาวะ (duality) หรือความสัมพันธ์ที่เป็นคู่ตรงข้ามระหว่าง อธิการ กับ อธิกรรม (subject-object) ของนักการเมืองไทยกับประชาชนไทยดังข้างต้นให้จงได้ โดยผ่าน กระบวนการในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกองหน้าของพรรคกับมวลชนของพันธมิตรฯ ซึ่งกระบวนการนี้ประกอบขึ้นมาจากกระบวนการ 2 ส่วนด้วยกันคือ
กระบวนการภายในพรรค ในการสร้างฝึกฝน อบรม บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงานของพรรคให้เป็นปัญญาชนออแกนิกกับ กระบวนการนอกพรรค ในการมีปฏิสัมพันธ์กับมวลชนของพันธมิตรฯ เพื่อเสาะหาเปิดรับมวลชนของพันธมิตรฯ ที่มีจิตสำนึกทางการเมืองสูงส่งให้มาเป็นผู้ปฏิบัติงานของพรรค หรือผู้สนับสนุนพรรคที่เอาการเอางานในรูปแบบต่างๆ เพราะมีแต่การเปลี่ยนมุมมองในการสร้างพรรคการเมือง ในการสร้างบุคลากรทางการเมือง และในการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประชาชน เช่น ข้างต้นนี้เท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถสร้าง “การเมืองใหม่” ที่ไม่ใช่การเมืองเก่า ซึ่งเป็นการเมืองแบบอธิการ-อธิกรรม (subject-object) อันเป็นการเมืองแบบลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อหาผู้แทนที่เป็น “ประชาธิปไตยแค่ 4 วินาที” ได้
ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองของพวกเรา ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของพวกปัญญาชนออแกนิก จึง มีความจำเป็นที่จะสร้างพื้นที่ รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้แก่สิทธิและเสียงของผู้ที่ด้อยกว่า ผู้ที่ถูกปิดกั้น ผู้ที่ถูกกีดกันในสังคมให้พวกเราได้มีโอกาส และมีเวทีในการพูด ในการแสดงออกซึ่งความคิดและตัวตนของพวกเขา รวมทั้งต้องเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อ่อนแอทางสังคม และด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส
ในฐานะที่เป็นกระบวนการอันเป็นรูปธรรม และเป็นตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมในความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างพรรคของพวกเรากับมวลมหาประชาชนของพวกเรา อันเป็นความสัมพันธ์ที่มุ่งจะ “ก้าวข้าม” ความสัมพันธ์แบบอธิการ-อธิกรรม ที่ดำรงมาโดยตลอดระหว่างพรรคการเมืองไทยกับประชาชนไทยที่เป็นความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ โดยผ่านการเคลื่อนไหวของพรรคเรา ใน “การปฏิวัติการเรียนรู้” ของประชาชนคนธรรมดาให้มีความมั่นใจในตัวเอง มีความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง และส่งเสริมให้มีการเติบโตทางจิตใจหรือมีการยกระดับทางจิตแบบรวมหมู่ไปด้วยกัน
อย่างไรก็ดี พวกเราต้องทำความเข้าใจและยอมรับความจริงข้อหนึ่งร่วมกันก่อนว่า ประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่มวลชนของพันธมิตรฯ เองก็ตาม ไม่อาจ “ตาสว่าง” หรือเข้าใจแนวทางและหลักนโยบายของพรรคเราได้เองอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมดได้ ผู้ที่จะตาสว่างหรือเข้าถึงแนวทางและหลักนโยบายของพรรคได้ก่อนคือ มวลชนพันธมิตรฯ ที่เป็นกองหน้า หรือมวลชนพันธมิตรฯ ส่วนที่มีความตื่นตัวทางการเมืองมากที่สุด จนออกมาปฏิบัติการทางการเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งร่วมกับขบวนการพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
จึงเห็นได้ว่า การที่พรรคการเมืองของพันธมิตรฯ จะกลายเป็นเครื่องมือหรืออาวุธที่ทรงพลังมากอันหนึ่งของขบวนการพันธมิตรฯ ในการบรรลุภารกิจทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้าง “การเมืองใหม่” ได้นั้น การดำรงอยู่ของมวลชนพันธมิตรฯ จำนวนมากที่เป็น “กองหน้า” และมีจิตสำนึกทางการเมืองที่สูงส่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่พวกเขาเป็น “ตัวกลาง”ในการเชื่อมและหลอมรวมพรรคของพันธมิตรฯ กับมวลชนของพันธมิตรฯ และมวลมหาประชาชนทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นการป้องกันยับยั้งมิให้พรรคของพวกเรา และบุคลากรทางการเมืองของพวกเรา “เปลี่ยนธาตุแปรสี” หรือทำตัวเหินห่างแปลกแยกจากมวลชนอย่างได้ผลที่สุด
พี่น้องเอย อันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเมืองนั้น จะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ความคิด จิตสำนึก และจิตวิญญาณของผู้คนที่มุ่งมั่นจะเปลี่ยนแปลงโลกเสียก่อน
เพราะฉะนั้นแล้ว กลุ่มบุคคลหรือพลังทางสังคมใดๆ ก็ตามที่ทำการต่อสู้เพื่อยกระดับจิตสำนึกทางการเมือง และทางสังคมของประชาชนผู้คนในสังคม ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวผลักดันวาระอะไร ในวงการหรือสาขาใดๆ ก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ไหน หรือส่วนไหนของสังคมไทยก็ตาม และถึงแม้ว่า ในขณะนี้ พวกเขายังไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับพรรคของพวกเราก็ตาม
โปรดรับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า กลุ่มบุคคลและพลังทางสังคมเหล่านั้น พวกเราถือว่า พวกท่านเป็น “องค์ประกอบ” หรือเป็น “ว่าที่ส่วนหนึ่งในอนาคต” ของพวกเราทั้งสิ้น ที่เพียงรอเวลามารวมกันหรือร่วมกันจัดตั้งเครือข่ายเป็น ขุมพลังทางการเมืองแห่งสังคมเครือข่าย ร่วมกับพรรคของพวกเราเท่านั้น ต่อให้กลุ่มบุคคลหรือพลังทางสังคมเหล่านี้มีการดำรงอยู่ที่หลากหลาย หรือมีความคิดที่แตกต่างหลากหลายเพียงใดก็ตาม
ทำไม? ผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นที่มีความแตกต่างทางความคิด และมีพื้นเพทางวัฒนธรรมและระบบความเชื่อที่หลากหลาย จึงสามารถมาร่วมมือร่วมใจและร่วมงานกับพรรคของพวกเราได้ ทำไม?
ขอเพียงพวกท่านทั้งหลายเปิดใจให้กว้าง เปิดตาให้กว้างพร้อมๆ กับเหลียวมองดูความเป็นไปในบ้านเมืองของเราด้วยสายตาที่ปราศจากอคติ พร้อมๆ กันเถิด พวกท่านเห็นด้วยกับพวกเราหรือไม่ว่า ไม่เคยเลยที่จะมีคนรุ่นไหนที่ได้เห็นการล่มสลายของสถาบันจำนวนมากเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอย่างไล่เลี่ย และอย่างรวดเร็วเหมือนกับคนรุ่นเราในยุคนี้
วิกฤตเชิงสถาบันในบ้านเมืองเราไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เหมือนอย่างในยุคนี้เลย ตั้งแต่วิกฤตสถาบันชาติ วิกฤตสถาบันศาสนา วิกฤตสถาบันกษัตริย์ ไล่ไปจนถึงวิกฤตสถาบันครอบครัว วิกฤตสถาบันการศึกษา วิกฤตสถาบันการเมือง วิกฤตสถาบันสื่อ วิกฤตสถาบันตำรวจ วิกฤตสถาบันกองทัพ วิกฤตชุมชน และแม้กระทั่งวิกฤตสถาบันตุลาการ จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะส่วนที่ตัดขาดแยกออกจากกัน แต่มันเป็นเรื่องของ การล่มสลายเชิงสถาบันทั้งระบบ ซึ่งท้าทายความอยู่รอดของสังคมไทย ทั้งสังคมที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยสถาบันต่างๆ ที่กำลังสั่นคลอนอยู่ในขณะนี้
พี่น้องเอย พวกท่านทั้งหลายเอย ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ ข้างต้น ทุกคนน่าจะตระหนักได้ว่า พรรคของพวกเราคือ ความหวังของสังคมนี้ ที่จะเข้ามากอบกู้บ้านเมืองให้รอดพ้นจากความล่มสลายเชิงสถาบันทั้งระบบนี้ (ยังมีต่อ)
www.suvinai-dragon.com