xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องจากพระไตรปิฏก : ตำนาน นโม (๓๗)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ต่อไปจะได้แสดงถึง ผู้กล่าวคำว่า “นโม” ตามที่ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ถึงทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสจนเปล่งอุทานด้วยความเคารพนอบน้อมว่า “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” มีแสดงอยู่ ๘ คน ในหมวดพระสูตร ดังนี้
๑. พรหมายุพราหมณ์ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พราหมณวรรค สูตรที่ ๑. พรหมายุสูตร มีความโดยพิสดาร ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็สมัยนั้น แล พราหมณ์ชื่อพรหมายุ อาศัยอยู่ในเมืองมิถิลา เป็นคนแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุ ๑๒๐ ปีแต่กำเนิด รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ
พรหมายุพราหมณ์ได้ฟังข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวจาริกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจร ไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์ นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็น พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล
พรหมายุพราหมณ์ได้เรียก อุตตรมาณพ ผู้เป็นศิษย์ มาแล้วเล่าว่า “ดูกรพ่ออุตตระ พระสมณโคดม ศากยบุตรพระองค์นั้น ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวไปในวิเทหชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป พ่ออุตตระ พ่อจงไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับแล้ว จงรู้พระสมณโคดมว่า กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์ นั้นขจรไปแล้ว เป็นจริงอย่างนั้นหรือว่าไม่เป็นจริงอย่างนั้น เราทั้งหลายจักเห็นแจ้งท่านพระโคดมพระองค์นั้น เพราะพ่ออุตตระ”
อุตตรมาณพ ถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าจักรู้ได้อย่างไรเล่า?”
พรหมายุพราหมณ์ ตอบว่า “ดูกรพ่ออุตตระ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ของเราทั้งหลาย ที่พระมหาบุรุษประกอบแล้วย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าอยู่ครอบครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว ทรง มีราชอาณาจักรอันมั่นคง ทรงมีความเป็นผู้แกล้วกล้า ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว พระราชบุตร ของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม ไม่ต้องใช้พระราชอาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ทรงครอบครองแผ่นดินนี้อันมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก ดูกรพ่ออุตตระ ฉันเป็นผู้สอนมนต์ ท่านผู้เรียนมนต์”
อุตตรมาณพรับคำพรหมายุพราหมณ์แล้ว ลุกจากที่นั่งไหว้พรหมายุพราหมณ์ กระทำประทักษิณแล้ว หลีกจาริกไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกายของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก ในพระกายของพระผู้มีพระภาค เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่น้อม ใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงมีพระดำริว่า อุตตรมาณพนี้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมากเว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อุตตรมาณพได้เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสองกลับไปมาสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่พระชิวหาปิดมณฑล พระนลาฏทั้งสิ้น
อุตตรมาณพได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อย่ากระนั้นเลย เราพึงติดตามพระสมณโคดม พึงดูพระอิริยาบถของพระองค์ เถิด แต่นั้นอุตตรมาณพได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปตลอด ๗ เดือน ดุจพระฉายาติดตามพระองค์ไปฉะนั้น
จากนั้น อุตตรมาณพได้กลับไปหาพรหมายุพราหมณ์ ที่เมืองมิถิลา ไหว้พรหมายุพราหมณ์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พรหมายุพราหมณ์ได้ถามว่า “ดูกรพ่ออุตตรมาณพ กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ก็ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นไม่เป็นเช่นอื่นแลหรือ?”
อุตตรมาณพตอบว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นจริง พระองค์นั้นทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระจริยาที่งดงาม เช่น เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม ทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยอบริษัท ไม่ทรงรุกรานบริษัททรงชี้แจงให้บริษัทเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ทรงมีพระสุรเสียงอันก้องเปล่งออกจากพระโอฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ สละสลวย ๑ รู้ได้ชัดเจน ๑ ไพเราะ ๑ ฟังง่าย ๑ กลมกล่อม ๑ ไม่พร่า ๑ พระสุรเสียงลึก ๑ มีกังวาล ๑ บริษัทจะอย่างไร ก็ทรงให้เข้าใจด้วยพระสุรเสียงได้ พระสุรเสียงมิได้ก้องออกนอกบริษัทชนทั้งหลายที่ท่านพระโคดมทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาเมื่อลุกจากที่นั่งไป ยังเหลียวดูโดยไม่อยากจะละไป ต่างรำพึงว่า เราได้เห็นท่านพระโคดมพระองค์นั้นเสด็จดำเนิน ประทับยืนเสด็จเข้าละแวกบ้าน ประทับนั่งนิ่งในละแวกบ้าน กำลังเสวยภัตตาหารในละแวกบ้าน เสวยเสร็จแล้วประทับนั่งนิ่ง เสวยเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา เมื่อเสด็จกลับมายังพระอาราม เมื่อเสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่งนิ่งอยู่ เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม กำลังทรงแสดงธรรมในบริษัทท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงพระคุณเช่นนี้ๆ และทรงพระคุณยิ่งกว่าที่กล่าวแล้วนั้น”
เมื่ออุตตรมาณพกล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วเปล่งอุทานขึ้น ๓ ครั้งว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น) แล้วคิดว่า ไฉนหนอ เราจึงจะได้สมาคมกับท่านพระโคดมพระองค์นั้นสักครั้งคราว ไฉนหนอ จะพึงได้เจรจาปราศรัยสักหน่อยหนึ่ง?
ต่อมา พระผู้มีพระภาค เสด็จถึงเมืองมิถิลา ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน พรหมายุพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพเป็นอันมาก พากันเข้าไปยังมฆเทวอัมพวัน เมื่ออยู่ในที่ไม่ไกลมฆเทวอัมพวัน พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความคิดขึ้นว่า การที่เราไม่ทูลให้ทรงทราบเสียก่อน พึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมไม่สมควรแก่เราเลย
พรหมายุพราหมณ์เรียกมาณพคนหนึ่งมากล่าวว่า “มานี่แน่พ่อมาณพ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงทูลพระสมณโคดมตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ ทูลถามท่านพระโคดมถึงถึงความ มีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่าน พระโคดม พรหมายุพราหมณ์เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุ ๑๒๐ ปี แต่เกิดมา รู้จบ ไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบทเข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พราหมณ์และคฤหบดีมีประมาณเท่าใด ย่อมอยู่อาศัยในเมืองมิถิลา พรหมายุพราหมณ์ปรากฏว่าเลิศกว่าพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น เพราะโภคะ เพราะมนต์ เพราะอายุและยศ ท่านปรารถนาจะมาเฝ้าท่านพระโคดม”
มาณพนั้นรับคำพรหมายุพราหมณ์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ตามที่พรหมายุพราหมณ์สั่งมา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า“ดูกรมาณพ พรหมายุพราหมณ์ ย่อมรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด”
มาณพนั้นจึงเข้าไปหาพรหมายุพราหมณ์ที่รออยู่ แล้วแจ้งพรหมายุพราหมณ์ว่า “ท่านเป็นผู้อันพระสมณโคดมทรงประทานโอกาสแล้ว จงรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด”
พรหมายุพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค บริษัทนั้นได้เห็นพรหมายุพราหมณ์มาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นให้โอกาสตามสมควรแก่ผู้มีชื่อเสียง มียศ พรหมายุพราหมณ์จึงกล่าวกะบริษัทนั้นว่า “อย่าเลยท่านผู้เจริญทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลายนั่งบนอาสนะของตนๆ เราจักนั่งในสำนักแห่งพระสมณโคดมนี้”
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค แล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วพิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมากเว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ใน ฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อม ใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระองค์
พรหมายุพราหมณ์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระโคดม มหาปุริสลักษณะ อันข้าพเจ้าได้สดับมาว่า ๓๒ ประการ แต่ยังไม่เห็นอยู่ ๒ ประการในพระกายของพระองค์ท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน พระคุยหฐานของพระองค์ท่านเร้นอยู่ในฝัก ที่ผู้ฉลาดกล่าวว่า คล้ายนารีหรือ พระชิวหาได้นรลักษณ์หรือ พระองค์มีพระชิวหาใหญ่หรือ ไฉนข้าพเจ้าจึงจะทราบความข้อนั้น ขอพระองค์ทรงค่อยนำพระลักษณะนั้นออก ขอได้โปรดทรงกำจัดความสงสัยของข้าพเจ้าเถิด ข้าแต่ท่านฤาษี ถ้าพระองค์ทรงประทานโอกาส ข้าพเจ้าจะขอทูลถามปัญหาที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อความสุขในสัมปรายภพ”
พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า พรหมายุพราหมณ์นี้ยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้พรหมายุพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝักและทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสองกลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่ปิดทั่ว มณฑลพระนลาฏ แล้วตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ว่า “ดูกรพราหมณ์ มหาปุริสลักษณะที่ท่านได้สดับมาว่า ๓๒ ประการนั้น มีอยู่ในกายของเราครบทุกอย่าง ท่านอย่าสงสัยเลยดูกร พราหมณ์ สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเรารู้ยิ่งแล้ว สิ่งที่ควรเจริญ เราเจริญแล้ว และสิ่งที่ควรละเราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพุทธะ ท่านเป็นผู้อันเราให้โอกาสแล้ว เชิญถามปัญหา ที่ปรารถนายิ่งอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อความสุขในสัมปรายภพเถิด”
พรหมายุพราหมณ์มีความดำริว่าเราเป็นผู้อันพระสมณโคดมประทานโอกาสแล้ว จะพึงทูลถามประโยชน์ในปัจจุบัน หรือประโยชน์ในสัมปรายภพหนอ? แล้วได้คิดว่า เราเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์ปัจจุบัน แม้คนอื่นๆ ก็ถามเราถึงประโยชน์ ในปัจจุบัน ถ้ากระไรเราพึงทูลถามประโยชน์ในสัมปรายภพ กะพระสมณโคดมเถิด จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์ อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้รู้จบเวท อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้มีวิชชา ๓ บัณฑิต บุคคลเช่นไรชื่อว่าเป็นผู้มีความสวัสดี อย่างไรชื่อ ว่าเป็นพระอรหันต์ อย่างไรชื่อว่ามีคุณครบถ้วน อย่างไรชื่อว่าเป็นมุนีและบัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรว่าเป็นพุทธะ?”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ผู้ใดรู้ระลึกชาติก่อนๆได้เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุถึงความสิ้นชาติ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ยิ่งถึงที่สุด มุนีนั้นย่อมรู้จิตอันบริสุทธิ์อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ละชาติ และมรณะได้แล้ว ชื่อว่ามีคุณครบถ้วนแห่งพรหมจรรย์ ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่นนั้นว่าเป็นพุทธะ”
เมื่อสดับพุทโธวาทแล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกขึ้นจากที่ นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบศีรษะลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค จูบพระยุคลบาทด้วยปาก นวดด้วยฝ่ามือ และประกาศชื่อของตนว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ ชื่อพรหมายุ ข้าแต่พระโคดมผู้ เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชื่อพรหมายุ”
บริษัทในที่นั้นเกิดความอัศจรรย์ใจว่า “น่าอัศจรรย์นักหนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาหนอ ท่านผู้เจริญ พระสมณะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พรหมายุพราหมณ์นี้เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศ ยังทำความเคารพ นบนอบอย่างยิ่งเห็นปานนี้”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ว่า “พอละพราหมณ์ เชิญท่านลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตนเถิด เพราะจิตของท่านเลื่อมใสในเราแล้ว”
พรหมายุพราหมณ์จึงลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตน แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุพราหมณ์ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามทั้งหลายอันต่ำทราม เศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พรหมายุพราหมณ์ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อนปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูงผ่องใส พระองค์จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่พรหมายุพราหมณ์ ณ ที่นั่งนั่นเองว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากดำ ควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น”
พรหมายุพราหมณ์ผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุแล้ว มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งทราบแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความ แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ... ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ
พรหมายุพราหมณ์ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้ว จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้วหลีกกลับเคหาแห่งตน
พรหมายุพราหมณ์ได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีตในนิเวศน์ของตนตลอดคืนยันรุ่ง แล้วใช้คนให้ไปกราบทูลเวลาภัตกาล แด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว
ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพรหมายุพราหมณ์ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำเพียงพอด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน ตลอด ๗ วัน พอล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปไม่นาน พรหมายุพราหมณ์ได้ทำกาละ (มรณกรรม) ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมายุพราหมณ์ทำกาละแล้ว คติของเขาเป็นเช่นไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นเช่นไร พระเจ้าข้า?”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายพรหมายุพราหมณ์เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมตามลำดับธรรม ไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะเหตุแห่งธรรมเลย พรหมายุพราหมณ์เป็นอุปปาติกะ (อนาคามี) จักปรินิพพาน ในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
พรรณนาเรื่อง พรหมายุพราหมณ์ ในพรหมายุสูตรโดยพิสดารเช่นนี้ ด้วยประสงค์ ๒ ประการคือ ๑. มุ่งจะ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความรู้ที่ตนได้ศึกษามา เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นจริงตรงกับความรู้นั้น จึงยอมเชื่อยอมเลื่อมใส แต่ความเชื่อความเลื่อมใสที่เกิดจากการฟังนั้น ย่อมไม่มั่นคงเท่าความเชื่อความเลื่อมใสที่ได้ประจักษ์ด้วย ตนเอง เมื่อความเชื่อความเลื่อมใสมั่นคง การน้อมรับคำสั่ง สอนอันเป็นพุทโธวาทย่อมเป็นสิ่งที่จักสำเร็จประโยชน์ได้ ในที่สุด ๒. มุ่งจะแสดงให้เห็นถึงมารยาทอันงามที่ชนครั้งพุทธกาลได้ปฏิบัติต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า มารยาทเช่นนั้นก็คือรากเหง้าแห่งมารยาทไทยในปัจจุบัน ที่บรรพชนได้ ปรับประยุกต์ ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ มารยาทไทยเช่นนี้กำลังจะเลือนหายไปจากสังคมไทย เพราะคนไทยไม่ยอมประพฤติตนตามมารยาทไทยนั่นเอง
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยพระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)
กำลังโหลดความคิดเห็น