xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจ:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ
วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด


ครั้งที่ 006
วิปัสสนาเริ่มเมื่อพ้นจากความคิด

คนที่ช่างถาม เก็บความสงสัยไว้ก่อน จะบอกให้ มานั่งถามหลวงพ่อนะถามไปถึงพรุ่งนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก คุณสังเกตมั้ยพอคุณถาม พอหลวงพ่อตอบ คุณฟังแล้วคุณก็คิด คุณฟังแล้วคุณคิด คุณดูออกมั้ย ฟังไป คิดไป ตอนที่คุณฟังน่ะคุณยังไม่เข้าใจ คุณนึกออกมั้ย ต้องไปคิดก่อนนะแล้วก็ค่อยเข้าใจขึ้นมา ตอนที่เสียงกระทบหูเนี่ย ยังไม่เข้าใจ พอฟังเราก็ต้องคิดสลับไปเรื่อยๆ ดูออกบ้างมั้ย?'

เพราะฉะนั้น ตรงที่เราบอกว่าเราฟังธรรมะเข้าใจเนี่ย ความจริงไม่ได้เข้าใจด้วยการฟัง แต่เข้าใจด้วยการคิดเอาเองการคิดเอาเองของเราเนี่ย คิดถูกก็ได้ คิดผิดก็ได้ งั้นธรรมะที่ฟังๆ เอานะยังใช้ไม่ได้ ฟังเอาพอเป็นแนว เพื่อจะมารู้กาย รู้ใจ ศัตรูของการรู้กาย รู้ใจ เบอร์หนึ่งเลยคือการที่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด ลืมกาย ลืมใจที่เป็นปัจจุบัน รู้สึกไหม ขณะที่เราคิดไปเนี่ย เรานั่งอยู่เราก็ลืมไป จิตใจเราเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกุศล อกุศล เราก็ไม่รู้ นึกออกไหม เพราะงั้น ตราบใดที่คุณยังคิดไม่เลิกนะ คุณไม่ได้ทำวิปัสสนาแน่นอน แล้วมันเป็นศัตรูด้วย หลวงพ่อเลยไม่ส่งเสริมให้มานั่งคิดนั่งถามนะ ที่สงสัยได้เพราะคิดมาก คิดมากก็สงสัยมาก สงสัยแล้วอยากถาม ถามไปแล้วก็จำเอาไว้แล้วหรือเอาไปคิดต่อ มันจะเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ

วิปัสสนาจริงๆ ไม่ใช่การคิด วิปัสสนาจริงๆ ในอภิธรรมสอนนะเริ่มจากตัวอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณเนี่ยมันเห็น ความเกิดดับของรูปนามนะ แล้วระบุไว้ด้วยว่า ต้องพ้นจากความคิดด้วย ถ้ายังเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิดเอา เช่นคิดเอาว่าจิตตะกี้กับจิตเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เนี่ยแสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ นี่ได้แค่สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ฉะนั้น ตราบใดที่ยังคิดอยู่ไม่ใช่วิปัสสนา

หลวงพ่อพุธเคยสอนนะบอกว่าสมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด
งั้นความคิดเนี่ยคือศัตรูเบอร์หนึ่งเลย มันทำให้เราลืมกายลืมใจตัวเอง

ส่วนศัตรูเบอร์สองคือการที่บังคับกาย บังคับใจ นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยคือนักบังคับกาย บังคับใจ เพ่งเอาๆ นะ กำหนดเอาๆ กายก็ทื่อๆ ใจก็ทื่อๆ ถ้าเราบังคับกาย บังคับใจ จนมันทื่อๆ ไปแล้วไตรลักษณ์มันจะไปอยู่ที่ไหน มันไม่แสดงตัวขึ้นมา

งั้นศัตรูของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอันแรก หลงไป เผลอไป ขาดสติ ลืมเนื้อ ลืมตัว ตามใจกิเลสไปนี้เรียกว่า อกุสลาภิสังขารบ้าง อปุญญาภิสังขารบ้าง เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยคบ้าง มีหลายชื่อ

ศัตรูหมายเลขสองคือการเพ่งกาย เพ่งใจ บังคับกาย บังคับใจ กำหนดกาย กำหนดใจ ควบคุมไว้ ทำกายทำใจให้ลำบาก อันนี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ความปรุงแต่งฝ่าย ที่เป็นบุญ เรียกว่า กุสลาภิสังขาร ความปรุงแต่งที่เป็นกุศล เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค การบังคับตัวเอง สองทางนี้แหละเป็นทางสุดโต่งสองด้านที่ พระพุทธเจ้าทรงห้าม ถ้าเรายังไปทำ ส่วนใหญ่ไปทำอย่างนั้นเองคือไปเพ่งเอา กำหนดเอา ใจ แข็ง ทื่อๆ จ้องเอาไว้ๆ นั่นไม่ใช่การเจริญสติ

หลวงพ่อทำอานาปานสติเริ่มต้นตั้งแต่ 7 ขวบ ทำอานาปานสติ 22 ปี ทำอยู่ 22 ปี ปัญญาไม่เกิด ถึงรู้เลยว่าเรื่องของสมถะมันอันหนึ่งนะ เรื่องของวิปัสสนาอันหนึ่ง ไม่ใช่ทำสมถะไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดวิปัสสนา ไม่เกิดหรอก คนละเรื่องเลย เพียงแต่สมถะเป็นเครื่องอาศัย ถ้าเราทำเป็นแล้วได้พักผ่อน พักผ่อนแล้วก็มีกำลังแล้วก็ออกมารู้กาย รู้ใจเอา งั้นงานหลักของเราคืองานรู้กาย รู้ใจ ตัวนี้แหละที่เราได้ผลประโยชน์ที่แท้จริง

สมถะเหมือนได้พักผ่อน เคยมีคนถามนะว่าถ้าทำสมถะมากๆ จะเกิดปัญญามั้ย มันก็เหมือนถามว่านอนมากๆ จะรวยมั้ย เป็นคำถามที่ไม่ฉลาดนะ ไม่ฉลาดเลย นอนเยอะๆ จะรวยมั้ย นี้ก็ต้องรู้จักวิธีเจริญปัญญา วิธีเจริญปัญญาไม่ใช่นั่งอ่านนั่งคิดนะ นั่นแหละศัตรูของการเจริญปัญญา

การเจริญปัญญาเนี่ย ในขั้นของวิปัสสนาทำได้อย่างเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่า เอกายนมรรค ทางสายเอกทางสายเดียว ไม่มีทางที่สอง ก็คือการมีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ นั่นเอง ที่เรียกว่าสติปัฏฐาน พระองค์จึงทรง สอนว่าสติปัฏฐานเนี่ยเป็นทางสายเดียวที่จะถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ การมีสติรู้กาย มี สติรู้ใจ เพราะงั้นเราต้องเรียนเรื่องสติปัฏฐาน

ในสติปัฏฐานไม่มีเรื่องการคิด มีแต่เรื่องการรู้ นั่งอยู่ก็รู้ชัด ยืนอยู่ก็รู้ชัด เดินอยู่ก็รู้ชัด รู้ชัดไม่ได้แปลว่ารู้ชัดๆ รู้ชัดเนี่ยคนไทยมาแปลเอาเอง คำว่า รู้ชัดคือ รู้ตรงตามความเป็นจริงว่า ตัวที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอน เนี่ยไม่ใช่ตัวเราหรอก แล้วจิตใจที่ไปรู้รูปที่ยืน เดิน นั่ง นอน นั่นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก อย่างนี้เรียกว่ารู้ชัด รู้ตรงความจริง

ธรรมะเรียนไม่ได้ด้วยการคิดนะ เรียนไม่ได้ด้วยการถาม แต่เรียนได้วิธีเดียวดูลงมาในกาย ดูลงมาในใจ อย่าเลื่อนลอยไปอยู่ ในโลกของความคิด ตราบใดที่เรายังหลงอยู่ ในโลกของความคิด เราจะรู้กายรู้ใจไม่ได้เลย เราจะห่างจากมรรคผล นิพพาน

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
สิ่งทั้งหลายคือภาพลวงตา)
กำลังโหลดความคิดเห็น