xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กินไข่วันละ 2 ฟอง ช่วยลดโคเลสเตอรอล
การวิจัยของดร.บรูซ กริฟฟิน จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ อังกฤษ ที่ตีพิมพ์ อยู่ในยูโรเปียน เจอร์นัล ออฟ นิวทริชัน พบว่า คนที่กินไข่วันละ 2 ฟองขณะควบคุมอาหาร ไม่เพียงทำให้น้ำหนักลด ลงเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือดด้วย
ทีมนักวิจัยภายใต้การนำของดร. กริฟฟิน จัดให้อาสาสมัครน้ำหนักเกินเกือบ 50 คนกินไข่วันละ 2 ฟองนาน 12 สัปดาห์ ขณะที่อาสาสมัครอีกลุ่มไม่ได้กินไข่ และทั้งหมดกินอาหารจำกัดแคลอรี่ตามที่มูลนิธิหัวใจอังกฤษแนะนำ ผลปรากฏว่า ทั้ง 2 กลุ่มน้ำหนักลดลง เช่นเดียวกับระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
ดร.กริฟฟิน ระบุว่า ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงการเพิ่มขึ้นของโคเลสเตอรอลหรือการกินไข่กับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ในทางตรงข้าม ไข่ให้สารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและมีปริมาณ แคลอรี่ต่ำ
และการกินไข่มื้อเช้าช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากทำให้อิ่มท้องนาน

พบสารอันตรายในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดความอ้วน
นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา พบว่า มีรายงานผู้ป่วยที่ใช้ยาไซบูทรามีนเสียชีวิตจำนวน 25 คน และในจำนวนนี้มี 16 คน เสียชีวิต เนื่องจากปัญหาทางหัวใจ ดังนั้น การที่ผู้ผลิตใส่ตัวยาดังกล่าวในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงอาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า หัวใจเต้นเร็วผิดปกติและอาจทำ ให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นวิธีการลดความอ้วน ที่ถูกวิธีและได้ผลดี ควรใช้การควบคุมอาหาร ที่กินในแต่ละมื้อโดยลดอาหารที่มีไขมัน แป้งและน้ำตาล เพิ่มผักและผลไม้ให้มากขึ้น ที่สำคัญ ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน เป็นการลดน้ำหนักอย่างช้าๆ แต่ได้ผลถาวรดีกว่าการ ใช้ยาลดความอ้วน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้ลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียวและ ไม่ออกกำลังกาย เพราะเมื่อหยุดใช้ยาก็จะกลับมาอ้วนอีกและอ้วนมากกว่าเดิม

แพทย์ผิวหนังชี้เครียดเมื่อไหร่โรคผิวหนังกำเริบ
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกัน บอร์ดสาขาผิวหนัง เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทำให้คนไทยมีความเครียดสูง มีแนวโน้มพบการกำเริบของโรคผิวหนังหลายชนิด เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์กับผิวหนังชัดเจน โดยแบ่งลักษณะความสัมพันธ์ได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 เป็นโรคผิวหนังโดยตัวเองอยู่แล้ว แต่ปัจจัยทางจิตใจกระตุ้นให้โรคผิวหนังกำเริบ เช่น สิว ผมร่วงเป็นหย่อม เริม เหงื่อออกมาก มีกลิ่น ตัว คัน สะเก็ดเงิน ลมพิษ กลุ่มที่ 2 โรคผิวหนังเป็นตัวทำให้จิตป่วย เช่น สิวที่รุนแรง สะเก็ดเงิน ด่างขาว ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอายเกิดความกังวลและความเครียดกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มโรคทางจิตใจที่มีอาการทางผิวหนัง เช่น ดึงผมเล่นจนร่วง และโรคไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง หรือบีดีดี (body dysmorphic disorder-BDD) ที่เรียกง่ายๆว่า โรคฉันไม่สวย
กลุ่มโรคผิวหนังที่สัมพันธ์กับจิตใจที่พบบ่อยขณะนี้ เช่น สะเก็ดเงิน สิว และบีดีดี ในกรณีของสะเก็ดเงิน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุไม่มากคือ18-45 ปี ทำให้มีปัญหาในการทำงานและการเข้าสังคม ผู้ป่วยสะเก็ดเงินขั้นรุนแรงร้อยละ 5.5 เคยคิดฆ่าตัวตาย ในโรคสิวนั้นความรุนแรงไม่ได้ผันแปรโดยตรงกับความซึมเศร้า สิวเป็นมากในวัยรุ่นที่เป็นช่วงที่กังวลต่อรูปลักษณ์ของตนเองมากอยู่แล้ว ผู้ปกครองจึงต้องเข้าใจว่าสิวเป็นโรคที่แท้จริง ผู้ป่วยสิวต้องการการรักษาอย่างถูกต้อง ส่วนโรคบีดีดีต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเสริมความงาม ในผู้ป่วยโรคนี้ เพราะผลลัพธ์อาจเป็นฝันร้ายของทั้งผู้ป่วย เนื่องจากการเสริมความงามไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐาน คือเรื่องของจิตใจ บางโรคเช่นสะเก็ดเงินและสิว ต้องให้ การรักษาเต็มที่ เพราะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น แพทย์ผิวหนังอาจปรึกษาจิตแพทย์ร่วมในการรักษาด้วย

ชี้ลิปมันตัวการมะเร็งผิวหนัง
ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ในอเมริกา ระบุว่า แทนที่ลิปมันจะปกป้องริมฝีปาก กลับอาจจะดึงดูดรังสีอุลตราไวโอเล็ต
“ผิวหนังบริเวณริมฝีปากคนเราบางมากและมีแนวโน้มเสียหายจากแสงแดดง่ายกว่าถ้าเทียบกับผิวหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลายคนลืมไปว่าควรปกป้องริมฝีปากด้วยผลิตภัณฑ์กันแสงแดดเช่นเดียวกับผิวหนังส่วนอื่นๆ อาการของมะเร็งผิวหนังที่ริมฝีปากอาจร้ายแรงกว่าที่อื่นๆ เนื่องจากมะเร็งมักแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ที่อยู่รายรอบ” ดร.คริสตีน บราวน์ แจง
ทั้งนี้ เชื่อกันว่าน้ำมันที่ถูกชะโลมลงบนผิวหนังอาจทำให้ร่างกายซึมซับรังสีอุลตราไวโอเล็ตมากขึ้น และการที่ลิปมันมีส่วนผสมของน้ำมัน จึงอาจทำให้เกิดผลดังกล่าว ที่สำคัญลิปมันมากมายยังไม่มีส่วนผสมของ SPF จึงไม่มีฤทธิ์ปกป้องแสงแดด

อย.เตือนอันตราย รักษาโรคด้วยกระแสไฟฟ้า
นพ. นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับแจ้งว่ามีผู้ประกอบการจัดสาธิตเครื่องหรืออุปกรณ์บำบัดด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตย์ โดยนำมาให้บริการหรือดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณหรือประโยชน์ในการบำบัด
รักษา บรรเทา และป้องกันโรคต่างๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด หลงเชื่อ ทำให้สูญเสียโอกาสและเวลาในการบำบัดรักษาโรคให้หายด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากเครื่องดังกล่าวมีราคาสูง
จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจาก อย. รับแจ้งรายการละเอียด
ของเครื่องมือดังกล่าว อนุญาตให้มีข้อบ่งใช้เพียง “ช่วยการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ” โดยอาจช่วยในเรื่องการบรรเทาปวดกล้ามเนื้อได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เครื่องดังกล่าวควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด ทั้งนี้ ในส่วนของข้อบ่งใช้หรือประโยชน์อื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น อย.ไม่อนุญาต เนื่องจากยังไม่มีผลการทดลองหรือผลทดสอบทางคลินิกหรือวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถืออ้างอิงแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เครื่องหรืออุปกรณ์ที่ใช้กระแสไฟฟ้า อาจเกิดอันตรายร้ายแรงจากกระแสไฟฟ้าได้ทั้งโดยอุบัติเหตุ หรือการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง

สธ.เตือนโรคเบาหวานอย่าลองสมุนไพรลดน้ำตาล เสี่ยงตาบอด
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการสำรวจ
สุขภาพคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ครั้งล่าสุดในปี 2547 พบเป็นโรคเบาหวานร้อยละ 7 หรือประมาณ 3 ล้านคน ผู้ป่วยที่ตรวจพบครั้งนี้ เกินครึ่งไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค โดยมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 4 แสนคน หรือประมาณร้อยละ 12 เท่านั้นที่สามารถปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ได้ดี
ปัญหาสำคัญของผู้ป่วยเบาหวาน คือ การควบคุมระดับน้ำตาล หากควบคุมได้ไม่ดีจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในหลายระบบของร่างกาย ที่สำคัญคือ จอประสาทตาเสื่อม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเบาหวานขึ้นตาหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ตาบอดอย่างถาวร เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายปี จะมีผลทำให้เส้นเลือดฝอยทั่วร่างกายเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะที่ตา ผนังหลอดเลือดในจอประสาทตาจะเกิดความผิดปกติ มีเลือดออกในตา น้ำวุ้นตาขุ่นมัว จอประสาทตาลอก ทำให้ตาบอด ซึ่งโรคเบาหวานเป็นสาเหตุทำให้ตาบอดมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคต้อกระจก ขณะนี้ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยเบาหวานที่มีเบาหวานขึ้นตาประมาณ 5 แสนคน มีความเสี่ยงตาบอดสูงกว่าผู้ป่วยทั่วไป 25 เท่าตัว
ข้อมูลที่น่าเป็นห่วง คือ มีผู้ป่วยเบาหวานบางรายชอบทดสอบความแรงของยา โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยกินอาหารต้องห้าม เช่น อาหารรสหวาน อาหารไขมันสูงเช่น หนังไก่ทอด ขาหมู แล้วกินยาตามเพื่อดูว่าจะได้ผลทำให้อาการดีขึ้นในวันรุ่งขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีก็จะไม่กินต่อ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นผลเสียอย่างมากต่อการควบคุมเบาหวานของผู้ป่วย เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น เพราะโรคนี้ไม่มียารักษาให้หายขาดแต่สามารถควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นได้

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 95 ต.ค. 51 โดยธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น