บทที่ 21
พระมหาโมคคัลลานะกับ
โกสิยเศรษฐี
ครั้งที่ 82
"สังคหวัตถุ" หลักธรรม 4 ประการ
อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ
.............
เมื่อภรรยาพร้อมโกสิยเศรษฐีผู้ตระหนี่ ถูกพระมหาโมคคัลลานะทรมานด้วยฤทธิ์ จนยอมถวาย ขนมเบื้องแล้ว ได้แสดงธรรมให้ทั้งสองฟัง ถึงกำเนิดและคุณของพระรัตนตรัย พร้อมผลของทานเป็นต้น โดยนัยดังนี้.-
"ณ เชิงหิมาลัยบรรพต มีแคว้นหนึ่ง นามศากยะ พระราชาผู้ครอง คือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระอัครมเหสี แห่งพระราชานั้นพระนามศิริมหามายา พระนางประสูติ พระราชโอรสพระนามสิทธัตถะ พระสิทธัตถะราชกุมารได้ทรงมีดวงตาคือ ปัญญามองเห็นทุกข์ของโลก จึงทรงสละโลกียสุขทั้งมวลออกแสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ เมื่อพระชนมายุเพียง 29 พรรษา ทรงทำความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ ทรงทำความเพียร อย่างยอดเยี่ยมอยู่ 6 ปี จนพระชนม์ 35 จึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อจากนั้นอาศัยพระมหากรุณาอันเปี่ยมอยู่ในพระหฤทัย จึงเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ละเว้นความเห็นแก่ตัวหรือแสวงหาความสุขเฉพาะตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น ทรงสอนให้มนุษย์เอื้อเฟื้อต่อกัน ช่วยเหลือกัน มีจิตปราศจากจองเวร แต่ให้มีเมตตาปรานีต่อกัน คำสั่งสอนของพระองค์เรียกว่า พระธรรม ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมย่อมปลอดจากการเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ต่อมา มีผู้เลื่อมใสในคำสอนของพระศาสดา พระองค์นั้นจะสละทรัพย์สมบัติและโลกียสุขอื่นๆ ออกบวช ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนได้ลิ้มรสพระธรรม มีความสุข สงบเย็นอย่างยิ่ง เป็นพยานในคำสอนของพระผู้มีพระภาคว่า ปฏิบัติตามได้จริง มีผลจริง แล้วสั่งสอน ผู้อื่นให้รู้ตามเห็นตาม ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระสงฆ์ ทั้ง 3 อย่างเรียกว่าพระรัตนตรัย
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกมืดอยู่ด้วยโมหะ คือความหลง ไม่รู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เหมือนคนไร้จักษุ หรือเหมือนคนมีจักษุแต่เดินอยู่ในความมืด ไม่เห็นอันตราย แม้ตั้งอยู่เฉพาะหน้า ได้อาศัยพระรัตนตรัย จึงได้พบแสงสว่าง สามารถมองเห็นตามความเป็นจริง
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกเร่าร้อนด้วยโทสะความเดือดดาลแค้นเคือง ประทุษร้ายกัน เพราะความร้อนอันเกิดขึ้นในจิตของตน จึงแผ่ความร้อนให้กระจายไปยังมนุษย์และสัตว์อื่น
มนุษย์เป็นจุดศูนย์รวมของความเร่าร้อนหรือความสงบเย็นของโลก ในที่ใดใจของมนุษย์เร่าร้อนอยู่ด้วยโทสะ ในที่นั้นสัตวโลกอื่นๆ ก็พลอยถูกเบียดเบียนไปด้วยในที่ใด จิตมนุษย์สงบเยือกเย็นอยู่ด้วยเมตตา ในที่นั้น สัตว์ทั้งหลายอื่นก็พลอยได้รับความร่มเย็นไปด้วย สัตวโลกทั้งหลายได้อาศัยพระรัตนตรัยแล้วสามารถดับความเร่าร้อนกระวนกระวายในดวงจิตเสียได้
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกมัวเมาอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส มัวเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขอันเกิดจาก รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส ลาภ ยศ และสรรเสริญนั้น แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นโลกียธรรมมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ลงท้ายด้วยทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มัวเมาอยู่ไม่รู้เรื่องนี้ตามความเป็นจริง จมอยู่ หมกมุ่นอยู่ เมื่อสิ่งเหล่านั้นแปรปรวนไปตามธรรมดาของสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยเหตุปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็เร่าร้อนเหมือนถูกลูกศรแทง ต้องเศร้าโศก เสียใจพิไรรำพัน คับแค้นใจ
ดูก่อนโกสิยะ อาศัยพระรัตนตรัยแล้ว ชาวโลกได้คลายความเมาลง กลายเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญามีปัญญาในการถอนตนออก ไม่หมกมุ่นติดอยู่ จมอยู่
'ดูก่อนโกสิยะ! สัตวโลกได้รับความเดือดร้อนลำบากเป็นนักหนา ด้วยราคะ โทสะ และโมหะอันใด เมื่อสามารถทำลายเสียได้ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะอันนั้น สัตวโลกก็พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ปลอดโปร่งเยือกเย็นไม่มีความขัดแย้งภายใน ทั้งนี้ก็ด้วยได้อาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นประทีปส่องทาง
'ดูก่อนโกสิยะ! บุคคลบางพวกมีความเห็นว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การควบคุมตนเองไม่มีผล ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้ทานแก่คนทั้งหลาย เรื่องทานเป็นเรื่องที่คนฉลาดบัญญัติขึ้นเพื่อหลอกคนโง่ การบูชาเป็นความงมงายอย่างร้ายกาจ ไม่มีผลอะไร ส่วนการควบคุมตนเองเล่าก็เป็นการฝืนความปรารถนาของตนโดยไม่มีผลตอบแทนอันคุ้มกัน ผู้มีความเชื่อเช่นนี้ ไม่ให้ทาน ไม่ทำการบูชาสิ่งที่ควรบูชา หรือบุคคลอันตนควรบูชา ไม่มีการควบคุมตนเอง ตนมีความปรารถนาอย่างใดย่อมทำอย่างนั้น ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้ใด ถือเอาการสำเร็จความสมปรารถนาของตนเป็นที่ตั้ง
'แต่พระศาสดาของข้าพเจ้า คือ พระศากยมุนีตรัสว่า ทานมีผล การบูชามีผล การควบคุมตนเองเป็นหน้าที่สำคัญของมนุษย์ เพราะอันนี้แหละทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป
ดูก่อนโกสิยะ! บุคคลในโลกอยู่รวมกันย่อมต้องพึ่งพาอาศัย เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน คนยากจนช่วยเหลือคนมั่งมีด้วยกำลังกาย คนมั่งมีอนุเคราะห์เกื้อกูลคนยากจนด้วยกำลังทรัพย์ คนยากจนให้กำลังใจแก่คนมั่งมีด้วยการทำการงานดี คนมั่งมีถนอมน้ำใจ คนยากจนด้วยปิยวาจา ทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยกันและกันด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่กัน ไม่เอาเปรียบกัน และวางตนเหมาะสมแก่ฐานะของตน
'ดูก่อนโกสิยะ! หลักธรรมทั้ง 4 ประการดังกล่าวมาคือ การสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน 1 การพูดจาไพเราะยังใจของกันและกันให้เอิบอาบ 1 การบำเพ็ญประโยชน์ให้กัน 1 และการวางตนเหมาะสมแก่ฐานะของตนๆ 1 พระศาสดาของข้าพเจ้าทรงเรียกว่า สังคหวัตถุ 4 หรือหลักธรรม 4 ประการอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เปรียบเสมือนเพลาหรือลิ่มสลักยึดเหนี่ยวรถให้ทำงานไปได้แล่นไปได้สู่จุดหมาย'
พระเถระยังเศรษฐีและภริยาให้สมาทาน อาจหาญร่าเริงในกุศลธรรมด้วยประการฉะนี้แล้ว เศรษฐีและภริยาหมอบลงแทบเท้าของพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธิ์และกล่าวว่า
'นานเหลือเกิน ท่านผู้เจริญ นานเหลือเกินกว่าท่านจะมาโปรด เกือบช้าไป วัยของข้าพเจ้าทั้งสองก็ล่วงไปมากแล้ว จนป่านนี้ยังไม่เคยได้สดับธรรมของสัตบุรุษ ธรรมกถาของท่านแจ่มแจ้งชัดเจนเข้าอกเข้าใจ'
เศรษฐีและภรรยากล่าวปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยแล้วน้อมกระเช้าขนมเข้าไปถวาย พร้อมกล่าวว่า 'นิมนต์ฉันเสียเถิด พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าถวายด้วยศรัทธา'
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/โลกียสุข คือความสุขของขอทาน)
พระมหาโมคคัลลานะกับ
โกสิยเศรษฐี
ครั้งที่ 82
"สังคหวัตถุ" หลักธรรม 4 ประการ
อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ
.............
เมื่อภรรยาพร้อมโกสิยเศรษฐีผู้ตระหนี่ ถูกพระมหาโมคคัลลานะทรมานด้วยฤทธิ์ จนยอมถวาย ขนมเบื้องแล้ว ได้แสดงธรรมให้ทั้งสองฟัง ถึงกำเนิดและคุณของพระรัตนตรัย พร้อมผลของทานเป็นต้น โดยนัยดังนี้.-
"ณ เชิงหิมาลัยบรรพต มีแคว้นหนึ่ง นามศากยะ พระราชาผู้ครอง คือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระอัครมเหสี แห่งพระราชานั้นพระนามศิริมหามายา พระนางประสูติ พระราชโอรสพระนามสิทธัตถะ พระสิทธัตถะราชกุมารได้ทรงมีดวงตาคือ ปัญญามองเห็นทุกข์ของโลก จึงทรงสละโลกียสุขทั้งมวลออกแสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ เมื่อพระชนมายุเพียง 29 พรรษา ทรงทำความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ ทรงทำความเพียร อย่างยอดเยี่ยมอยู่ 6 ปี จนพระชนม์ 35 จึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อจากนั้นอาศัยพระมหากรุณาอันเปี่ยมอยู่ในพระหฤทัย จึงเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ละเว้นความเห็นแก่ตัวหรือแสวงหาความสุขเฉพาะตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น ทรงสอนให้มนุษย์เอื้อเฟื้อต่อกัน ช่วยเหลือกัน มีจิตปราศจากจองเวร แต่ให้มีเมตตาปรานีต่อกัน คำสั่งสอนของพระองค์เรียกว่า พระธรรม ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมย่อมปลอดจากการเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ต่อมา มีผู้เลื่อมใสในคำสอนของพระศาสดา พระองค์นั้นจะสละทรัพย์สมบัติและโลกียสุขอื่นๆ ออกบวช ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนได้ลิ้มรสพระธรรม มีความสุข สงบเย็นอย่างยิ่ง เป็นพยานในคำสอนของพระผู้มีพระภาคว่า ปฏิบัติตามได้จริง มีผลจริง แล้วสั่งสอน ผู้อื่นให้รู้ตามเห็นตาม ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระสงฆ์ ทั้ง 3 อย่างเรียกว่าพระรัตนตรัย
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกมืดอยู่ด้วยโมหะ คือความหลง ไม่รู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เหมือนคนไร้จักษุ หรือเหมือนคนมีจักษุแต่เดินอยู่ในความมืด ไม่เห็นอันตราย แม้ตั้งอยู่เฉพาะหน้า ได้อาศัยพระรัตนตรัย จึงได้พบแสงสว่าง สามารถมองเห็นตามความเป็นจริง
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกเร่าร้อนด้วยโทสะความเดือดดาลแค้นเคือง ประทุษร้ายกัน เพราะความร้อนอันเกิดขึ้นในจิตของตน จึงแผ่ความร้อนให้กระจายไปยังมนุษย์และสัตว์อื่น
มนุษย์เป็นจุดศูนย์รวมของความเร่าร้อนหรือความสงบเย็นของโลก ในที่ใดใจของมนุษย์เร่าร้อนอยู่ด้วยโทสะ ในที่นั้นสัตวโลกอื่นๆ ก็พลอยถูกเบียดเบียนไปด้วยในที่ใด จิตมนุษย์สงบเยือกเย็นอยู่ด้วยเมตตา ในที่นั้น สัตว์ทั้งหลายอื่นก็พลอยได้รับความร่มเย็นไปด้วย สัตวโลกทั้งหลายได้อาศัยพระรัตนตรัยแล้วสามารถดับความเร่าร้อนกระวนกระวายในดวงจิตเสียได้
'ดูก่อนโกสิยะ! ชาวโลกมัวเมาอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส มัวเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขอันเกิดจาก รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส ลาภ ยศ และสรรเสริญนั้น แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นโลกียธรรมมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ลงท้ายด้วยทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มัวเมาอยู่ไม่รู้เรื่องนี้ตามความเป็นจริง จมอยู่ หมกมุ่นอยู่ เมื่อสิ่งเหล่านั้นแปรปรวนไปตามธรรมดาของสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยเหตุปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็เร่าร้อนเหมือนถูกลูกศรแทง ต้องเศร้าโศก เสียใจพิไรรำพัน คับแค้นใจ
ดูก่อนโกสิยะ อาศัยพระรัตนตรัยแล้ว ชาวโลกได้คลายความเมาลง กลายเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญามีปัญญาในการถอนตนออก ไม่หมกมุ่นติดอยู่ จมอยู่
'ดูก่อนโกสิยะ! สัตวโลกได้รับความเดือดร้อนลำบากเป็นนักหนา ด้วยราคะ โทสะ และโมหะอันใด เมื่อสามารถทำลายเสียได้ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะอันนั้น สัตวโลกก็พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ปลอดโปร่งเยือกเย็นไม่มีความขัดแย้งภายใน ทั้งนี้ก็ด้วยได้อาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นประทีปส่องทาง
'ดูก่อนโกสิยะ! บุคคลบางพวกมีความเห็นว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การควบคุมตนเองไม่มีผล ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้ทานแก่คนทั้งหลาย เรื่องทานเป็นเรื่องที่คนฉลาดบัญญัติขึ้นเพื่อหลอกคนโง่ การบูชาเป็นความงมงายอย่างร้ายกาจ ไม่มีผลอะไร ส่วนการควบคุมตนเองเล่าก็เป็นการฝืนความปรารถนาของตนโดยไม่มีผลตอบแทนอันคุ้มกัน ผู้มีความเชื่อเช่นนี้ ไม่ให้ทาน ไม่ทำการบูชาสิ่งที่ควรบูชา หรือบุคคลอันตนควรบูชา ไม่มีการควบคุมตนเอง ตนมีความปรารถนาอย่างใดย่อมทำอย่างนั้น ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้ใด ถือเอาการสำเร็จความสมปรารถนาของตนเป็นที่ตั้ง
'แต่พระศาสดาของข้าพเจ้า คือ พระศากยมุนีตรัสว่า ทานมีผล การบูชามีผล การควบคุมตนเองเป็นหน้าที่สำคัญของมนุษย์ เพราะอันนี้แหละทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป
ดูก่อนโกสิยะ! บุคคลในโลกอยู่รวมกันย่อมต้องพึ่งพาอาศัย เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน คนยากจนช่วยเหลือคนมั่งมีด้วยกำลังกาย คนมั่งมีอนุเคราะห์เกื้อกูลคนยากจนด้วยกำลังทรัพย์ คนยากจนให้กำลังใจแก่คนมั่งมีด้วยการทำการงานดี คนมั่งมีถนอมน้ำใจ คนยากจนด้วยปิยวาจา ทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยกันและกันด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่กัน ไม่เอาเปรียบกัน และวางตนเหมาะสมแก่ฐานะของตน
'ดูก่อนโกสิยะ! หลักธรรมทั้ง 4 ประการดังกล่าวมาคือ การสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน 1 การพูดจาไพเราะยังใจของกันและกันให้เอิบอาบ 1 การบำเพ็ญประโยชน์ให้กัน 1 และการวางตนเหมาะสมแก่ฐานะของตนๆ 1 พระศาสดาของข้าพเจ้าทรงเรียกว่า สังคหวัตถุ 4 หรือหลักธรรม 4 ประการอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เปรียบเสมือนเพลาหรือลิ่มสลักยึดเหนี่ยวรถให้ทำงานไปได้แล่นไปได้สู่จุดหมาย'
พระเถระยังเศรษฐีและภริยาให้สมาทาน อาจหาญร่าเริงในกุศลธรรมด้วยประการฉะนี้แล้ว เศรษฐีและภริยาหมอบลงแทบเท้าของพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธิ์และกล่าวว่า
'นานเหลือเกิน ท่านผู้เจริญ นานเหลือเกินกว่าท่านจะมาโปรด เกือบช้าไป วัยของข้าพเจ้าทั้งสองก็ล่วงไปมากแล้ว จนป่านนี้ยังไม่เคยได้สดับธรรมของสัตบุรุษ ธรรมกถาของท่านแจ่มแจ้งชัดเจนเข้าอกเข้าใจ'
เศรษฐีและภรรยากล่าวปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยแล้วน้อมกระเช้าขนมเข้าไปถวาย พร้อมกล่าวว่า 'นิมนต์ฉันเสียเถิด พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าถวายด้วยศรัทธา'
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/โลกียสุข คือความสุขของขอทาน)