ครั้งที่ 04. วิรตีเจตสิก
4.3.2 สิ่งดีงามที่เป็นเครื่องงดเว้นการทำบาปทางกายและวาจา (วิรตีเจตสิก) เป็นสิ่งดีงาม 3 อย่างที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลบางดวง ได้แก่ (1) สัมมาวาจา คือการงดเว้น ความทุจริตทางคำพูด 4 ประการ ได้แก่ การงดเว้นการพูดเท็จ การงดเว้นการพูดส่อเสียด ให้เขาแตกแยกกัน การงดเว้นการพูดคำหยาบ และการงดเว้นการพูดเพ้อเจ้อ (2) สัมมากัมมันตะ คือการงดเว้นความทุจริตทางกาย 3 ประการ ได้แก่ การงดเว้นการฆ่า และทำร้ายคนและสัตว์ทั้งหลาย การงดเว้นการล่วงละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น และการงดเว้นการประพฤติผิดในกาม และ (3) สัมมาอาชีวะ คือการงดเว้นการประกอบอาชีพที่ทุจริตซึ่งต้องล่วงละเมิดสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะ
4.3.3 สิ่งดีงามที่แผ่ไปถึงสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ (อัปปมัญญาเจตสิก) ได้แก่สิ่งดีงามที่แผ่ไปในสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ มีทั้งหมด 4 อย่างได้แก่ (1) เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข (2) กรุณา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ (3) มุทิตา คือความยินดีด้วยที่ผู้อื่นมีความสุข และ (4) อุเบกขา คือความ วางใจเป็นกลางเมื่อผู้อื่นประสบความทุกข์ และไม่สามารถช่วยเหลือได้ อย่างไรก็ตาม ในตำราพระอภิธรรมจัดสิ่งดีงามที่เป็น อัปปมัญญาเจตสิกไว้เพียง 2 อย่างคือกรุณา และมุทิตา เพราะเมตตาก็คืออโทสะ และอุเบกขาก็คือตัตรมัชฌัตตตาหรือความเป็น กลางของจิตต่อสภาวธรรมต่างๆ ด้วยปัญญา ซึ่งกล่าวไว้แล้วในหัวข้อสิ่งดีงามที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลทุกดวง
4.3.4 ความเข้าใจความเป็นจริงในอริยสัจจ์ 4 (ปัญญินทรียเจตสิก) หรือ อโมหะหรือตัวปัญญาที่รู้ความเป็นจริงในอริยสัจจ์ 4 ได้แก่ (1) ความรู้ทุกข์ คือความรู้ว่ารูปนาม/ขันธ์ 5/กายใจเป็นตัวทุกข์และเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อทุกข์ ก็คือการรู้ให้ตรงความจริงว่ารูปนามมีลักษณะเป็น ไตรลักษณ์ (2) ความรู้สมุทัย คือรู้ว่าตัณหาหรือความดิ้นรนทะยานอยากของจิตเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อสมุทัยคือการละเสีย (3) ความรู้นิโรธ คือรู้ถึงสภาวะแห่งความดับสนิทของตัณหาและทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อนิโรธคือการเข้าไปเห็นแจ้ง และ (4) ความรู้มรรค คือรู้ถึงมรรคมีองค์ 8 ประการ และรู้ว่ากิจต่อมรรค คือการเจริญหรือทำให้มาก ซึ่งได้แก่การเจริญ สติปัฏฐาน 4 ให้ถูกต้องตามหลักของวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
ลักษณะของจิตที่เป็นอกุศล)
4.3.2 สิ่งดีงามที่เป็นเครื่องงดเว้นการทำบาปทางกายและวาจา (วิรตีเจตสิก) เป็นสิ่งดีงาม 3 อย่างที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลบางดวง ได้แก่ (1) สัมมาวาจา คือการงดเว้น ความทุจริตทางคำพูด 4 ประการ ได้แก่ การงดเว้นการพูดเท็จ การงดเว้นการพูดส่อเสียด ให้เขาแตกแยกกัน การงดเว้นการพูดคำหยาบ และการงดเว้นการพูดเพ้อเจ้อ (2) สัมมากัมมันตะ คือการงดเว้นความทุจริตทางกาย 3 ประการ ได้แก่ การงดเว้นการฆ่า และทำร้ายคนและสัตว์ทั้งหลาย การงดเว้นการล่วงละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น และการงดเว้นการประพฤติผิดในกาม และ (3) สัมมาอาชีวะ คือการงดเว้นการประกอบอาชีพที่ทุจริตซึ่งต้องล่วงละเมิดสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะ
4.3.3 สิ่งดีงามที่แผ่ไปถึงสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ (อัปปมัญญาเจตสิก) ได้แก่สิ่งดีงามที่แผ่ไปในสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ มีทั้งหมด 4 อย่างได้แก่ (1) เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข (2) กรุณา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ (3) มุทิตา คือความยินดีด้วยที่ผู้อื่นมีความสุข และ (4) อุเบกขา คือความ วางใจเป็นกลางเมื่อผู้อื่นประสบความทุกข์ และไม่สามารถช่วยเหลือได้ อย่างไรก็ตาม ในตำราพระอภิธรรมจัดสิ่งดีงามที่เป็น อัปปมัญญาเจตสิกไว้เพียง 2 อย่างคือกรุณา และมุทิตา เพราะเมตตาก็คืออโทสะ และอุเบกขาก็คือตัตรมัชฌัตตตาหรือความเป็น กลางของจิตต่อสภาวธรรมต่างๆ ด้วยปัญญา ซึ่งกล่าวไว้แล้วในหัวข้อสิ่งดีงามที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลทุกดวง
4.3.4 ความเข้าใจความเป็นจริงในอริยสัจจ์ 4 (ปัญญินทรียเจตสิก) หรือ อโมหะหรือตัวปัญญาที่รู้ความเป็นจริงในอริยสัจจ์ 4 ได้แก่ (1) ความรู้ทุกข์ คือความรู้ว่ารูปนาม/ขันธ์ 5/กายใจเป็นตัวทุกข์และเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อทุกข์ ก็คือการรู้ให้ตรงความจริงว่ารูปนามมีลักษณะเป็น ไตรลักษณ์ (2) ความรู้สมุทัย คือรู้ว่าตัณหาหรือความดิ้นรนทะยานอยากของจิตเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อสมุทัยคือการละเสีย (3) ความรู้นิโรธ คือรู้ถึงสภาวะแห่งความดับสนิทของตัณหาและทุกข์ และรู้ว่ากิจต่อนิโรธคือการเข้าไปเห็นแจ้ง และ (4) ความรู้มรรค คือรู้ถึงมรรคมีองค์ 8 ประการ และรู้ว่ากิจต่อมรรค คือการเจริญหรือทำให้มาก ซึ่งได้แก่การเจริญ สติปัฏฐาน 4 ให้ถูกต้องตามหลักของวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
ลักษณะของจิตที่เป็นอกุศล)