กรรมนิมิต คตินิมิต ทั้งสองอย่างนี้ อันใดอันหนึ่งจะเกิดก่อนก็ได้ กรรมนิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ หรือคตินิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ แต่ว่าทั้งสองอย่างนี้แหละจะเป็นเครื่องดึงดูดและชักจูงเอาจิตใจของเราที่ทอดทิ้งจากกาย แล้วนั้นให้ไปเสวย
อาจจะมีปัญหาถามว่า เมื่อกายกับใจยังปรอง ดองสามัคคีกันอยู่ การทำก็ไม่เห็นทารุณโหดร้าย สักเท่าใดนัก แต่เมื่อจิตคือใจนี้ทอดทิ้งกายแล้ว ทำไมจึงทำให้เกิดนิมิตโหดร้ายน่ากลัว แสดงอาการโหดร้ายเหลือเกิน นั่นเป็นธรรมดา ถึงเรื่อง ในใจของคนเรา ถ้ายังอยู่กับกายพร้อมเพรียง ก็ยังมีการที่จะปลดเปลื้องและแก้ไขได้ สมมติว่า เรานั่งหรือเรานอนเหนื่อย มันเหนื่อยที่ใจ เราก็พลิกกาย มันก็พอที่จะแก้ไขปลดเปลื้องกันได้ หรืออ่อนเพลีย หิวข้าว กระหายน้ำ เราก็ดื่มน้ำลงที่กาย ใจก็ค่อยสบายขึ้น นี่ช่วยกันแก้ไขได้
แต่ถ้ายังเหลือแต่ใจอันเดียวแล้วมันหมดหนทาง ไม่มีหนทางแก้ไข เหตุนั้น เมื่อทุกข์จึงทุกข์แสนสาหัส สุขก็สุขแสนยิ่ง มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น เหลือใจสิ่งเดียว และก็เป็นของเบาอีก ด้วย ของเบาๆนั้น ไม่ว่าอะไร ลองพิจารณาของภายนอกก็แล้วกัน เช่น รถวิ่งตามถนนหนทาง ถ้าพลาดบางครั้งบางคราวไม่เหลือเกินก็พอมีหนทางแก้ไข คือ สามารถที่จะปลดเปลื้องแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้ ถ้าหากว่าเป็นว่าว เมื่อขึ้น ไปปลิวอยู่บนอากาศ มันเป็นของเบาๆ พอแฉลบ ก็วูบลงเลย ของเบาเป็นอย่างนั้น ใจเป็นของเบาเหมือนกัน ถ้ามันตกลงได้เอนไปทางไหนแล้วจะไปอย่างสุดขีดเลย เหตุนั้น สุขก็สุขอย่างสุดขีด ทุกข์ก็ทุกข์อย่างสุดขีด ดังนั้น เมื่อถึงตอนนี้จึงเรียกว่าไม่มีหนทางแก้ไข ที่บางคนว่าจะไปแก้ไข ตอนไปหรือตายไปแล้วจะไปแก้ไขนั้น อย่าไปหวัง ไม่มีทางแก้ไขเลย
ที่ท่านเรียกว่า นรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือสวรรค์ ได้ความสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล อยู่เฉพาะในขณะนั้นแหละ ในขณะที่จิตมันว่างทอดทิ้งร่างนั่นล่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนอากาศกลางหาวที่ไหน ขณะที่จิตมันถอนจากร่างแล้วเกิด กรรมนิมิต คตินิมิต ปรากฏเห็นนรก เห็นสวรรค์กันตรงนั้นเอง
เหตุนั้น ผู้ที่มาเข้าใจในเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว จะแก้ไขตนเองก็พึงแก้ไขเสียในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ คือ เมื่อกายกับใจยังร่วมกันอยู่นี้ จะประกอบกุศลให้มีคุณงามความดีเจริญงอกงามขึ้น ก็พากันพร้อมใจเจริญ รู้สึกตนแล้วยังแก้ไขได้ เมื่อทำดีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ไปได้ หากว่าใจทอดทิ้งกายแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเลย
ผลของกายกับใจร่วมกันทำเรียกว่ากรรม มาส่อแสดงให้ปรากฏ กรรมเป็นของมีพลังอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะต้านทานหรือห้ามปรามไว้ได้ ไม่มีใครจะมาร้องขออ้อนวอนได้เลย กรรมให้ผลยุติธรรมอย่างยิ่ง ทำลงไปแล้วมากน้อยเท่าใดก็ได้ผลเท่าที่ตนทำนั่นแหละ
ไม่เหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ กายกับจิตร่วมกันอยู่ปลิ้นปลอกหลอกลวงได้สารพัดทุกอย่าง จะโกหกมายาได้ทั้งนั้น หรือเอาเงินเอาทองมาแก้ไขความผิดอันนั้น คือมาจ้างทนายความก็ดี หรือว่าให้ค่าไถ่ค่าถอนเพื่อไม่ให้ผิดได้ทั้งนั้น
ส่วนไปถึงตรงนั้นแล้วยังเหลือแต่ใจ ไม่มีอัฐไม่มีสตางค์ ไม่มีทนายความ ไม่มีใครจะอ้อนวอน ร้องขอได้ และไม่ให้อภัยกันเสียด้วย เมื่อถึงตอน นั้นแล้ว มีอย่างใดก็ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการยกเว้น กรรมตัวนั้นไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่มีน้อง ไม่มีญาติมีวงศ์ ไม่มีครูมีอาจารย์ เป็นเอกสิทธิ์ ของมันคนเดียว มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้น กรรมถึงได้ชื่อว่าเป็นของมีกำลังมาก
กรรมได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆนานา เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก เราให้ไปเกิดในที่ชั่ว ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยก เรามาในทางที่ดี ในทางที่ชั่วหรือที่ดีนั้น คนอื่นจะมาแยกไม่ได้ สุขหรือทุกข์คนอื่นมาแยกไม่ได้ กรรมเท่านั้นเป็นคนแยก เราจะมาแก้ตัวและผลัดเปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น นั่นจึงเป็นของน่ากลัว เป็นสิ่งที่เราพึงสังวรและรู้สึกตัว รีบทำเสียตั้งแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่
เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราละชั่วทำดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เป็นโชคลาภอย่างยิ่ง ถ้าหาก เรามาระลึกได้ถึงเรื่องนิมิตว่า กรรมนิมิต คตินิมิต เป็นสิ่งที่ไม่มีหนทางแก้ไขได้ เป็นสิ่งที่ควรจะกลัวและพยายามแก้ไขตนเสีย จึงจะไม่สายเกินกาล รีบแก้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยเหตุที่ผลของกรรมนำให้ไปเกิด ถ้าเราแก้ไขเสียได้แล้ว การเกิดการตายก็เรียกว่าสั้นเข้ามา คือว่าใกล้ที่จะสิ้นสุดลงไป
เพราะฉะนั้น ให้พากันศึกษา พิจารณาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่อธิบายมานี้ ก็จะเป็น ประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน
(แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
อาจจะมีปัญหาถามว่า เมื่อกายกับใจยังปรอง ดองสามัคคีกันอยู่ การทำก็ไม่เห็นทารุณโหดร้าย สักเท่าใดนัก แต่เมื่อจิตคือใจนี้ทอดทิ้งกายแล้ว ทำไมจึงทำให้เกิดนิมิตโหดร้ายน่ากลัว แสดงอาการโหดร้ายเหลือเกิน นั่นเป็นธรรมดา ถึงเรื่อง ในใจของคนเรา ถ้ายังอยู่กับกายพร้อมเพรียง ก็ยังมีการที่จะปลดเปลื้องและแก้ไขได้ สมมติว่า เรานั่งหรือเรานอนเหนื่อย มันเหนื่อยที่ใจ เราก็พลิกกาย มันก็พอที่จะแก้ไขปลดเปลื้องกันได้ หรืออ่อนเพลีย หิวข้าว กระหายน้ำ เราก็ดื่มน้ำลงที่กาย ใจก็ค่อยสบายขึ้น นี่ช่วยกันแก้ไขได้
แต่ถ้ายังเหลือแต่ใจอันเดียวแล้วมันหมดหนทาง ไม่มีหนทางแก้ไข เหตุนั้น เมื่อทุกข์จึงทุกข์แสนสาหัส สุขก็สุขแสนยิ่ง มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น เหลือใจสิ่งเดียว และก็เป็นของเบาอีก ด้วย ของเบาๆนั้น ไม่ว่าอะไร ลองพิจารณาของภายนอกก็แล้วกัน เช่น รถวิ่งตามถนนหนทาง ถ้าพลาดบางครั้งบางคราวไม่เหลือเกินก็พอมีหนทางแก้ไข คือ สามารถที่จะปลดเปลื้องแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้ ถ้าหากว่าเป็นว่าว เมื่อขึ้น ไปปลิวอยู่บนอากาศ มันเป็นของเบาๆ พอแฉลบ ก็วูบลงเลย ของเบาเป็นอย่างนั้น ใจเป็นของเบาเหมือนกัน ถ้ามันตกลงได้เอนไปทางไหนแล้วจะไปอย่างสุดขีดเลย เหตุนั้น สุขก็สุขอย่างสุดขีด ทุกข์ก็ทุกข์อย่างสุดขีด ดังนั้น เมื่อถึงตอนนี้จึงเรียกว่าไม่มีหนทางแก้ไข ที่บางคนว่าจะไปแก้ไข ตอนไปหรือตายไปแล้วจะไปแก้ไขนั้น อย่าไปหวัง ไม่มีทางแก้ไขเลย
ที่ท่านเรียกว่า นรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือสวรรค์ ได้ความสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล อยู่เฉพาะในขณะนั้นแหละ ในขณะที่จิตมันว่างทอดทิ้งร่างนั่นล่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนอากาศกลางหาวที่ไหน ขณะที่จิตมันถอนจากร่างแล้วเกิด กรรมนิมิต คตินิมิต ปรากฏเห็นนรก เห็นสวรรค์กันตรงนั้นเอง
เหตุนั้น ผู้ที่มาเข้าใจในเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว จะแก้ไขตนเองก็พึงแก้ไขเสียในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ คือ เมื่อกายกับใจยังร่วมกันอยู่นี้ จะประกอบกุศลให้มีคุณงามความดีเจริญงอกงามขึ้น ก็พากันพร้อมใจเจริญ รู้สึกตนแล้วยังแก้ไขได้ เมื่อทำดีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ไปได้ หากว่าใจทอดทิ้งกายแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเลย
ผลของกายกับใจร่วมกันทำเรียกว่ากรรม มาส่อแสดงให้ปรากฏ กรรมเป็นของมีพลังอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะต้านทานหรือห้ามปรามไว้ได้ ไม่มีใครจะมาร้องขออ้อนวอนได้เลย กรรมให้ผลยุติธรรมอย่างยิ่ง ทำลงไปแล้วมากน้อยเท่าใดก็ได้ผลเท่าที่ตนทำนั่นแหละ
ไม่เหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ กายกับจิตร่วมกันอยู่ปลิ้นปลอกหลอกลวงได้สารพัดทุกอย่าง จะโกหกมายาได้ทั้งนั้น หรือเอาเงินเอาทองมาแก้ไขความผิดอันนั้น คือมาจ้างทนายความก็ดี หรือว่าให้ค่าไถ่ค่าถอนเพื่อไม่ให้ผิดได้ทั้งนั้น
ส่วนไปถึงตรงนั้นแล้วยังเหลือแต่ใจ ไม่มีอัฐไม่มีสตางค์ ไม่มีทนายความ ไม่มีใครจะอ้อนวอน ร้องขอได้ และไม่ให้อภัยกันเสียด้วย เมื่อถึงตอน นั้นแล้ว มีอย่างใดก็ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการยกเว้น กรรมตัวนั้นไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่มีน้อง ไม่มีญาติมีวงศ์ ไม่มีครูมีอาจารย์ เป็นเอกสิทธิ์ ของมันคนเดียว มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้น กรรมถึงได้ชื่อว่าเป็นของมีกำลังมาก
กรรมได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆนานา เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก เราให้ไปเกิดในที่ชั่ว ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยก เรามาในทางที่ดี ในทางที่ชั่วหรือที่ดีนั้น คนอื่นจะมาแยกไม่ได้ สุขหรือทุกข์คนอื่นมาแยกไม่ได้ กรรมเท่านั้นเป็นคนแยก เราจะมาแก้ตัวและผลัดเปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น นั่นจึงเป็นของน่ากลัว เป็นสิ่งที่เราพึงสังวรและรู้สึกตัว รีบทำเสียตั้งแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่
เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราละชั่วทำดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เป็นโชคลาภอย่างยิ่ง ถ้าหาก เรามาระลึกได้ถึงเรื่องนิมิตว่า กรรมนิมิต คตินิมิต เป็นสิ่งที่ไม่มีหนทางแก้ไขได้ เป็นสิ่งที่ควรจะกลัวและพยายามแก้ไขตนเสีย จึงจะไม่สายเกินกาล รีบแก้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยเหตุที่ผลของกรรมนำให้ไปเกิด ถ้าเราแก้ไขเสียได้แล้ว การเกิดการตายก็เรียกว่าสั้นเข้ามา คือว่าใกล้ที่จะสิ้นสุดลงไป
เพราะฉะนั้น ให้พากันศึกษา พิจารณาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่อธิบายมานี้ ก็จะเป็น ประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน
(แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)