จงพากันตั้งใจฟังธรรมเทศนา วันนี้จะอธิบายหัวข้อ ๒ เรื่อง คือ ความเกิดกับความดับ ดูเหมือนของ ง่ายๆ นิดเดียว แต่หากกินความกว้างขวาง
หมดทั้งโลกนี้มีแต่เกิดกับดับเท่านั้น คำว่าเกิดก่อนหรือ ดับก่อน ดับแล้วจึงค่อยเกิด หรือเกิดแล้วจึงค่อยดับ ให้พิจารณาดู อะไรเกิดก่อน อะไรดับก่อน ถ้าหากว่ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เกิดกับดับก็ราคาเท่ากัน เมื่อยังไม่สิ้นกิเลสอยู่ตราบใด เมื่อนั้นแหละความเกิดความดับจึงมีราคาเท่ากันแต่โดยมากคนเรานั้นชอบเกิด ไม่ชอบดับ เห็นอะไรเกิดขึ้นใหม่เข้าใจว่าของใหม่ ชอบอกชอบใจ แต่เวลาดับก็เศร้าโศก เดือดร้อนวุ่นวาย การไม่เห็นความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่าง นั้น ความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ดับมันก็ไม่เกิด มันดับเสียก่อน แล้วจึงค่อยเกิด
เราทุกคนนี่แหละ พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว มันดับทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่า ตายทั้งนั้น ต้นไม้ ต้นหญ้า ภูเขาสารพัดทุกอย่าง อะไรๆทั้งหมดที่เกิดในพื้นที่ปฐพีแผ่นดินนี้ล้วนแต่เป็นของดับทั้งนั้น ควรพิจารณาให้ดี ถ้าพิจารณาไม่ดีก็เพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมาแต่ก้อนของความเกิดนั่นแหละ เกิดแล้วมันตั้งอยู่ ไปยินดีกับความอยู่ของความเกิดนั่น แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเสื่อม ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นในวันนั้น มันก็เสื่อมเลย ในวันนั้น เวลานั้น ขณะนั้น เสื่อมไปในตัว แต่มันเสื่อมทีละน้อยๆ ถ้าหากพิจารณาเห็นความเสื่อมของตัวอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ประมาท ให้พิจารณาความเสื่อมสิ้นไปของสังขารร่างกายของเราและของคนอื่น และสิ่งอื่นทั้งหมดในโลกนี้ ให้เห็นเป็นสภาวะอยู่อย่างนั้นทั่วทุกตัวคน จะไม่ประมาท จะมีสติอยู่ทุกเมื่อ
เราพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวของเรานี่แหละไป พิจารณาความเสื่อม หากไม่เห็น ให้พิจารณาของภายนอกเสียก่อนเอาอย่างง่ายๆ เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นพริก ต้นมะเขือ ต้นมะละกอ มันเกิดง่ายใหญ่โตเร็ว พอเกิดขึ้นมามันก็แก่ไปหาความเสื่อม ทีแรกมันเกิดมามีใบนิดเดียวแตกออกมา ใบมันก็ค่อยแก่ขึ้นจนเป็นต้นเป็นลำ และแตกเป็นกิ่งเป็นสาขาออกไป มันแก่ไป คำว่าแก่นั้น สมคำว่าแก่จริง คือมันแก่ไปหาความตาย แก่ไปหาความดับ ความสิ้นสูญ จึง เรียกว่า “แก่” ในภาคอีสานที่เรียกแก่นะ คือ ลากไป ชักไป ลากไปไหน ไปหาความตาย ไปหาที่สุดเหมือนกัน เอาต้นไม้ เป็นตัวอย่างเสียก่อน ที่เห็นง่ายๆ แล้ว พิจารณาลึกเข้าไป เอาที่มันถาวรกว่านั้นเข้าไปอีก ต้นไม้มันมีหลายชนิด เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นไม้ยืนต้น ก็แก่เหมือนกัน แก่ไปโดยลำดับ จนกระทั่งมีกระพี้ มีแก่น จนกระทั่งมีลูก มีผล แล้วพิจารณา มาหาตัวเรา ถ้าหากไม่เห็นตัวของเรา ก็ให้เห็นความแก่คนอื่น เอาความแก่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละสาวไปหาแต่เมื่อเด็ก เมื่อยังหนุ่ม เสื่อมไป แปรปรวนไป สภาพชำรุดทรุดโทรมไป แล้วจึงค่อยมาพิจารณาถึงตัวเรา ถึงอย่างไรๆ ก็ดี ถ้าหากไม่ ทำความเพียรภาวนา ก็ไม่เห็นความจริงเด็ดขาด
คราวนี้พูดถึงเรื่องภาวนา ถ้าไม่เกิดความรู้จากภาวนาแล้ว ไม่ได้เห็นตามเป็นจริงเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตาม เป็นจริง เบื้องต้นท่านให้ภาวนาให้จิตสงบเสียก่อน อบรมให้ เป็นสมาธิเสียก่อน เมื่อเป็นสมาธิแล้ว มันคิดพิจารณาไปเอง เกิดสลดสังเวชขึ้นในตัวของเรา สลดคืออะไร ใจมันหดหู่ แต่ ไม่ใช่ใจเศร้าหมอง ใจเศร้าหมองกับใจหดหู่มันต่างกัน ใจหดหู่นั้นมันสลดสังเวช แล้วมันคิดถึงตัวของเราจะต้องเป็น อย่างนั้นแล้ว มันหดหู่ลงไป ส่วนใจเศร้าหมองนั้น คิดถึงเรื่องความแก่ ความตายแล้วเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ กลัวเราจะเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเศร้าโศก จิตไม่ตั้งมั่นอยู่ใน ที่เดียว ส่วนหดหู่นั้นจิตใจยิ่งตั้งมั่นลงไป แล้วเกิดความสลด สังเวชในตัวของตน
เราเกิดมาได้ของไม่ดีซึ่งเราหลงใหลมานมนานแล้ว เข้าใจว่าได้ของดี จะมีอายุยืน จะมีสุขภาพดี แท้ที่จริงมันได้ของตาย ของอสุภะ ปฏิกูล ของชำรุดทรุดโทรมทั้งนั้น เราบำรุงบำเรอรักษาทุกเมื่อ แต่ว่ามันก็ชำรุดไปทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้ มันจึงค่อยเห็นความจริง ว่ามันต้องทรุดโทรมไปทุกวัน เป็นเหตุให้ได้คิด เกิดสลดใจว่า ตนลืมตนหลงตัว เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เอง เวลาล่วงเลยมานาน ไม่เกิดความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงของสังขาร เหตุนั้นจึงว่าการทำสมาธิภาวนามีอานิสงส์มาก ทำให้เห็ดชัดตาม ความเป็นจริง ถ้าเห็นตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งหลายนี้จะแปรปรวนก็ตาม จะดับสูญสิ้นไปก็ตาม อัตภาพมันเป็นอยู่ อย่างนั้น ใครห้ามไม่ได้ ใครบอกก็ไม่ฟัง มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันต้องแปรปรวนไปอย่างนั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตามเป็นจริง พิจารณาตาม เป็นจริง พระพุทธศาสนาสอนของจริง สอนตามความเป็นจริง มนุษย์คนเราเข้าใจผิดไปไม่เห็นตามเป็นจริง เอาตัวของเรานี้แหละเป็นตัวอย่างอธิบายให้ฟัง ความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดาของสังขารทั้งปวงของมนุษย์ที่เกิดมาเป็นอย่าง นั้น แต่มันไม่เห็นตามเป็นจริง เพราะจิตไม่เป็นสมาธิภาวนา คนที่เป็นสมาธิภาวนาแล้วเห็นชัดตามเป็นจริงไม่มีหวั่นไหว การพิจารณาความเกิดกับความดับพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้
(แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔)
หลวงปู่อบรมนั่งสมาธิ
ตั้งใจทำสมาธิภาวนาให้ถึงเอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต มันถึงจะเห็นความจริงของอัตภาพ แต่ที่ว่าไม่เห็นจริงตาม ที่มันเป็นอยู่ เพราะเหตุที่ต้นไม่ดี ต้นที่ปลูกขึ้นทีแรกยังไม่ทันงอกงาม มันก็เลยไม่เห็นผล ต้นปลูกขึ้นมาแล้วเหมือนกับปลูกต้นข้าวต้นอะไรก็ตามเถิด เมื่อปลูกแล้วไม่ได้ดายหญ้า หญ้ามันรกคลุมหมดมันก็เลยไม่ขึ้น ต้น คือสมาธิ สมาธิไม่แน่นแฟ้น ไม่ลงหลักให้เป็นหลักฐานเสียก่อน ถ้าเราอยากจะได้แต่ผล อยากให้เห็นตามความ เป็นจริง มันก็เลยไม่เห็นสักที เพราะกิเลสเหล่านี้มันแวดล้อม มันจึงไม่เป็นสมาธิภาวนา ลองหลับตาดูเดี๋ยวนี้ ก็ได้ พอหลับตาลงมันวิ่งวุ่นไปทั่วทุกแห่งทุกหนทั้งหมด วิ่ง ไปทุ่งไปนา ไปป่าไปเถื่อน ไปเรือกไปสวน ไปหาลูกหาหลาน ไปหาบ้านหาเรือนไปหมด มันเลยไม่เป็นสมาธิ
เราทำสมาธิต้องตั้งใจจริงๆนั่งสมาธิอยู่นี่จะส่งใจไปทำไม ของเหล่านั้นไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันหรอก ไม่เกี่ยวข้องกับมัน มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ เวลานี้จะทำสมาธิ ตัดบทมันลงเสียก่อน ทำให้เป็นสมาธิเสียก่อน เลิกคิด เลิกนึก สงบลงคงที่ให้เข้าถึงใจ ความเป็นกลางๆ ของว่างเปล่า ความไม่นึก ไม่คิด ไม่ส่งส่าย ตัวเฉยๆ ตัวเป็นกลางๆ นั่นแหละ เข้าถึงตัวนั้น มันก็ง่าย สอนให้เอาง่ายๆ เข้าตรงกลาง มันกลางตรงไหนก็เอามันตรงนั้น ไม่คิดไม่นึก ไม่ส่งส่ายไปหน้าไปหลัง ไม่คิดโน่นคิดนี่ไม่ปรุงไม่แต่ง มันก็หยุด ก็เป็นสมาธิ
เมื่อเป็นสมาธิแล้ว ให้หยุดสักพักหนึ่ง หรืออยู่นานๆ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ให้มันเป็นบ่อยๆ ให้มันชำนิชำนาญ มันคิดก็ได้ไม่คิดก็ได้ มันจะคิดก็รู้จักว่ามันจะคิด มันไม่คิดก็รู้จักว่ามันไม่คิด เฉยๆ อยู่ก็รู้จักเฉยๆ บอกบังคับมันได้ นั่นแหละจึงจะเป็นใจของเรา เราบังคับไม่ได้ ไม่เป็นใจของเรา มันพาเราวิ่งว่อน ตลบตะแลงสารพัดทุกอย่าง ไม่เป็นตัวของตัว ถ้าเราบังคับใจได้แล้ว มันก็เป็นตัวของเรา มันก็เป็นสมาธิ
คราวนี้จะคิดอย่างไรก็เอา จะพิจารณาความเกิดความดับชัดขึ้นมาในที่นั้น ความสงบนั้นมันเป็นธรรม เป็นบทบาทให้เกิดธรรม ถ้าไม่สงบแล้วพิจารณาอะไรก็ไม่เป็น ธรรม จิตไม่หยุดยั้ง มันเป็นเรื่องโลก เราสร้างโลกมาหลาย ภพหลายชาติมานานแล้ว พอจะรู้ได้ในปัจจุบันชาตินี้ เพราะความเคยชินมา มันจึงไหลไปทางโลกมากกว่าทางธรรม นั่นเรียกว่าเราสร้างมาแล้ว ในชาตินี้เราก็สร้างมามากต่อมาก ในทางธรรมเราสร้างมาน้อยนิดเดียว จะให้พิจารณาเป็นธรรม คือให้มันหยุดอยู่แล้วก็พิจารณา อย่างความเกิดความดับพวกนี้แหละ มันจะเห็นที่ไหน คนทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ได้ทำภาวนาสมาธิ ไม่เห็นหรอก ดีแต่เพียงจะพูดเฉยๆ ถ้าไม่ทำสมาธิอย่างที่ว่านี้แล้ว ไม่เห็นตามเป็นจริงหรอก
ฉะนั้น จงทำสมาธิให้แน่วแน่ เอ้า..ทำเถอะ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
หมดทั้งโลกนี้มีแต่เกิดกับดับเท่านั้น คำว่าเกิดก่อนหรือ ดับก่อน ดับแล้วจึงค่อยเกิด หรือเกิดแล้วจึงค่อยดับ ให้พิจารณาดู อะไรเกิดก่อน อะไรดับก่อน ถ้าหากว่ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เกิดกับดับก็ราคาเท่ากัน เมื่อยังไม่สิ้นกิเลสอยู่ตราบใด เมื่อนั้นแหละความเกิดความดับจึงมีราคาเท่ากันแต่โดยมากคนเรานั้นชอบเกิด ไม่ชอบดับ เห็นอะไรเกิดขึ้นใหม่เข้าใจว่าของใหม่ ชอบอกชอบใจ แต่เวลาดับก็เศร้าโศก เดือดร้อนวุ่นวาย การไม่เห็นความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่าง นั้น ความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ดับมันก็ไม่เกิด มันดับเสียก่อน แล้วจึงค่อยเกิด
เราทุกคนนี่แหละ พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว มันดับทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่า ตายทั้งนั้น ต้นไม้ ต้นหญ้า ภูเขาสารพัดทุกอย่าง อะไรๆทั้งหมดที่เกิดในพื้นที่ปฐพีแผ่นดินนี้ล้วนแต่เป็นของดับทั้งนั้น ควรพิจารณาให้ดี ถ้าพิจารณาไม่ดีก็เพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมาแต่ก้อนของความเกิดนั่นแหละ เกิดแล้วมันตั้งอยู่ ไปยินดีกับความอยู่ของความเกิดนั่น แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเสื่อม ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นในวันนั้น มันก็เสื่อมเลย ในวันนั้น เวลานั้น ขณะนั้น เสื่อมไปในตัว แต่มันเสื่อมทีละน้อยๆ ถ้าหากพิจารณาเห็นความเสื่อมของตัวอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ประมาท ให้พิจารณาความเสื่อมสิ้นไปของสังขารร่างกายของเราและของคนอื่น และสิ่งอื่นทั้งหมดในโลกนี้ ให้เห็นเป็นสภาวะอยู่อย่างนั้นทั่วทุกตัวคน จะไม่ประมาท จะมีสติอยู่ทุกเมื่อ
เราพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวของเรานี่แหละไป พิจารณาความเสื่อม หากไม่เห็น ให้พิจารณาของภายนอกเสียก่อนเอาอย่างง่ายๆ เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นพริก ต้นมะเขือ ต้นมะละกอ มันเกิดง่ายใหญ่โตเร็ว พอเกิดขึ้นมามันก็แก่ไปหาความเสื่อม ทีแรกมันเกิดมามีใบนิดเดียวแตกออกมา ใบมันก็ค่อยแก่ขึ้นจนเป็นต้นเป็นลำ และแตกเป็นกิ่งเป็นสาขาออกไป มันแก่ไป คำว่าแก่นั้น สมคำว่าแก่จริง คือมันแก่ไปหาความตาย แก่ไปหาความดับ ความสิ้นสูญ จึง เรียกว่า “แก่” ในภาคอีสานที่เรียกแก่นะ คือ ลากไป ชักไป ลากไปไหน ไปหาความตาย ไปหาที่สุดเหมือนกัน เอาต้นไม้ เป็นตัวอย่างเสียก่อน ที่เห็นง่ายๆ แล้ว พิจารณาลึกเข้าไป เอาที่มันถาวรกว่านั้นเข้าไปอีก ต้นไม้มันมีหลายชนิด เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นไม้ยืนต้น ก็แก่เหมือนกัน แก่ไปโดยลำดับ จนกระทั่งมีกระพี้ มีแก่น จนกระทั่งมีลูก มีผล แล้วพิจารณา มาหาตัวเรา ถ้าหากไม่เห็นตัวของเรา ก็ให้เห็นความแก่คนอื่น เอาความแก่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละสาวไปหาแต่เมื่อเด็ก เมื่อยังหนุ่ม เสื่อมไป แปรปรวนไป สภาพชำรุดทรุดโทรมไป แล้วจึงค่อยมาพิจารณาถึงตัวเรา ถึงอย่างไรๆ ก็ดี ถ้าหากไม่ ทำความเพียรภาวนา ก็ไม่เห็นความจริงเด็ดขาด
คราวนี้พูดถึงเรื่องภาวนา ถ้าไม่เกิดความรู้จากภาวนาแล้ว ไม่ได้เห็นตามเป็นจริงเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตาม เป็นจริง เบื้องต้นท่านให้ภาวนาให้จิตสงบเสียก่อน อบรมให้ เป็นสมาธิเสียก่อน เมื่อเป็นสมาธิแล้ว มันคิดพิจารณาไปเอง เกิดสลดสังเวชขึ้นในตัวของเรา สลดคืออะไร ใจมันหดหู่ แต่ ไม่ใช่ใจเศร้าหมอง ใจเศร้าหมองกับใจหดหู่มันต่างกัน ใจหดหู่นั้นมันสลดสังเวช แล้วมันคิดถึงตัวของเราจะต้องเป็น อย่างนั้นแล้ว มันหดหู่ลงไป ส่วนใจเศร้าหมองนั้น คิดถึงเรื่องความแก่ ความตายแล้วเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ กลัวเราจะเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเศร้าโศก จิตไม่ตั้งมั่นอยู่ใน ที่เดียว ส่วนหดหู่นั้นจิตใจยิ่งตั้งมั่นลงไป แล้วเกิดความสลด สังเวชในตัวของตน
เราเกิดมาได้ของไม่ดีซึ่งเราหลงใหลมานมนานแล้ว เข้าใจว่าได้ของดี จะมีอายุยืน จะมีสุขภาพดี แท้ที่จริงมันได้ของตาย ของอสุภะ ปฏิกูล ของชำรุดทรุดโทรมทั้งนั้น เราบำรุงบำเรอรักษาทุกเมื่อ แต่ว่ามันก็ชำรุดไปทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้ มันจึงค่อยเห็นความจริง ว่ามันต้องทรุดโทรมไปทุกวัน เป็นเหตุให้ได้คิด เกิดสลดใจว่า ตนลืมตนหลงตัว เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เอง เวลาล่วงเลยมานาน ไม่เกิดความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงของสังขาร เหตุนั้นจึงว่าการทำสมาธิภาวนามีอานิสงส์มาก ทำให้เห็ดชัดตาม ความเป็นจริง ถ้าเห็นตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งหลายนี้จะแปรปรวนก็ตาม จะดับสูญสิ้นไปก็ตาม อัตภาพมันเป็นอยู่ อย่างนั้น ใครห้ามไม่ได้ ใครบอกก็ไม่ฟัง มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันต้องแปรปรวนไปอย่างนั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตามเป็นจริง พิจารณาตาม เป็นจริง พระพุทธศาสนาสอนของจริง สอนตามความเป็นจริง มนุษย์คนเราเข้าใจผิดไปไม่เห็นตามเป็นจริง เอาตัวของเรานี้แหละเป็นตัวอย่างอธิบายให้ฟัง ความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดาของสังขารทั้งปวงของมนุษย์ที่เกิดมาเป็นอย่าง นั้น แต่มันไม่เห็นตามเป็นจริง เพราะจิตไม่เป็นสมาธิภาวนา คนที่เป็นสมาธิภาวนาแล้วเห็นชัดตามเป็นจริงไม่มีหวั่นไหว การพิจารณาความเกิดกับความดับพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้
(แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔)
หลวงปู่อบรมนั่งสมาธิ
ตั้งใจทำสมาธิภาวนาให้ถึงเอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต มันถึงจะเห็นความจริงของอัตภาพ แต่ที่ว่าไม่เห็นจริงตาม ที่มันเป็นอยู่ เพราะเหตุที่ต้นไม่ดี ต้นที่ปลูกขึ้นทีแรกยังไม่ทันงอกงาม มันก็เลยไม่เห็นผล ต้นปลูกขึ้นมาแล้วเหมือนกับปลูกต้นข้าวต้นอะไรก็ตามเถิด เมื่อปลูกแล้วไม่ได้ดายหญ้า หญ้ามันรกคลุมหมดมันก็เลยไม่ขึ้น ต้น คือสมาธิ สมาธิไม่แน่นแฟ้น ไม่ลงหลักให้เป็นหลักฐานเสียก่อน ถ้าเราอยากจะได้แต่ผล อยากให้เห็นตามความ เป็นจริง มันก็เลยไม่เห็นสักที เพราะกิเลสเหล่านี้มันแวดล้อม มันจึงไม่เป็นสมาธิภาวนา ลองหลับตาดูเดี๋ยวนี้ ก็ได้ พอหลับตาลงมันวิ่งวุ่นไปทั่วทุกแห่งทุกหนทั้งหมด วิ่ง ไปทุ่งไปนา ไปป่าไปเถื่อน ไปเรือกไปสวน ไปหาลูกหาหลาน ไปหาบ้านหาเรือนไปหมด มันเลยไม่เป็นสมาธิ
เราทำสมาธิต้องตั้งใจจริงๆนั่งสมาธิอยู่นี่จะส่งใจไปทำไม ของเหล่านั้นไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันหรอก ไม่เกี่ยวข้องกับมัน มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ เวลานี้จะทำสมาธิ ตัดบทมันลงเสียก่อน ทำให้เป็นสมาธิเสียก่อน เลิกคิด เลิกนึก สงบลงคงที่ให้เข้าถึงใจ ความเป็นกลางๆ ของว่างเปล่า ความไม่นึก ไม่คิด ไม่ส่งส่าย ตัวเฉยๆ ตัวเป็นกลางๆ นั่นแหละ เข้าถึงตัวนั้น มันก็ง่าย สอนให้เอาง่ายๆ เข้าตรงกลาง มันกลางตรงไหนก็เอามันตรงนั้น ไม่คิดไม่นึก ไม่ส่งส่ายไปหน้าไปหลัง ไม่คิดโน่นคิดนี่ไม่ปรุงไม่แต่ง มันก็หยุด ก็เป็นสมาธิ
เมื่อเป็นสมาธิแล้ว ให้หยุดสักพักหนึ่ง หรืออยู่นานๆ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ให้มันเป็นบ่อยๆ ให้มันชำนิชำนาญ มันคิดก็ได้ไม่คิดก็ได้ มันจะคิดก็รู้จักว่ามันจะคิด มันไม่คิดก็รู้จักว่ามันไม่คิด เฉยๆ อยู่ก็รู้จักเฉยๆ บอกบังคับมันได้ นั่นแหละจึงจะเป็นใจของเรา เราบังคับไม่ได้ ไม่เป็นใจของเรา มันพาเราวิ่งว่อน ตลบตะแลงสารพัดทุกอย่าง ไม่เป็นตัวของตัว ถ้าเราบังคับใจได้แล้ว มันก็เป็นตัวของเรา มันก็เป็นสมาธิ
คราวนี้จะคิดอย่างไรก็เอา จะพิจารณาความเกิดความดับชัดขึ้นมาในที่นั้น ความสงบนั้นมันเป็นธรรม เป็นบทบาทให้เกิดธรรม ถ้าไม่สงบแล้วพิจารณาอะไรก็ไม่เป็น ธรรม จิตไม่หยุดยั้ง มันเป็นเรื่องโลก เราสร้างโลกมาหลาย ภพหลายชาติมานานแล้ว พอจะรู้ได้ในปัจจุบันชาตินี้ เพราะความเคยชินมา มันจึงไหลไปทางโลกมากกว่าทางธรรม นั่นเรียกว่าเราสร้างมาแล้ว ในชาตินี้เราก็สร้างมามากต่อมาก ในทางธรรมเราสร้างมาน้อยนิดเดียว จะให้พิจารณาเป็นธรรม คือให้มันหยุดอยู่แล้วก็พิจารณา อย่างความเกิดความดับพวกนี้แหละ มันจะเห็นที่ไหน คนทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ได้ทำภาวนาสมาธิ ไม่เห็นหรอก ดีแต่เพียงจะพูดเฉยๆ ถ้าไม่ทำสมาธิอย่างที่ว่านี้แล้ว ไม่เห็นตามเป็นจริงหรอก
ฉะนั้น จงทำสมาธิให้แน่วแน่ เอ้า..ทำเถอะ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)