อยากช่วยสามี
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่พุทธะอิสระ ดิฉันแต่งงานมาได้ปีกว่าแล้ว คบกันไม่นานก็แต่งเลย มารู้ตอนหลังว่าสามีเป็นคนที่มีราคจริตมาก หมกมุ่นอยู่ในเรื่องกาม ซึ่งลึกๆ แล้วดิฉันไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ที่แต่งงานด้วยเพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะสม ทำให้เรา มักมีปากเสียงกันเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นฝ่ายเงียบ ก็เลยทำให้รู้อีกว่าเขาเป็นคนมีโมหะจริต โทสะจริต อยู่มากๆ ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ เพราะดิฉันเองก็อยากจะช่วยเหลือเขาให้พบกับทางสว่างบ้าง และเราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก.............สาวบ้านนอก
วิสัชนา : มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะคนเราทำอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่ง่ายกับการที่จะไปแก้ อุปนิสัยของคนที่ติดมาจากอดีตชาติ ให้หมดไปในชาติปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด เพราะมันใช้เวลาสั่งสมมาเป็นร้อยๆพันๆชาติ จะใช้เวลาแค่พริบตากับการกำราบทิ้งไปคง ไม่ได้ ถ้าคุณสงสารเมตตาอยากช่วยเขาจริงๆเบื้องต้นต้องทำให้เขาไว้ใจคุณวางใจคุณ เชื่อใจคุณ แล้วคุณก็ใช้ความวางใจเชื่อใจนั้นแก้ปัญหาที่มีอยู่ในตัวเขาทีละเล็กละน้อย คล้อยตามเขาบ้าง และทำให้เขาคล้อยตามเราบ้าง ค่อยๆชี้นำกันไป แต่ไม่ใช่บอกว่าพอ เราไม่ชอบ แต่เขาอยากได้ ก็เลยปฏิเสธ อย่างนั้นก็คุยกันคนละทาง
วิธีที่จะทำได้ดีที่สุดก็คือต้องทำให้เขารู้จักผ่อนคลาย อย่าหมกมุ่น อย่าสนใจ ในวิถีชีวิต ที่เป็นอยู่ เหมือนกับการกำมือไว้ทั้งวันมันเมื่อย ก็บอกให้เขาหาวิธีผ่อนคลายซะบ้าง
สุดท้ายมันก็ค่อยๆหายไปเอง แต่ต้องใช้เวลาและความอดทนค่อยๆดึงความเห็นผิด ความเข้าใจผิดของเขาให้ออกไป ธรรมชาติของคนที่เป็นพวกเดียวกันย่อมคุยกันรู้เรื่อง ดี กว่าทำตนให้เป็นคนละพวกแล้วคุยกันคนละเรื่อง แล้วก็จะไม่รู้เรื่องในที่สุด
นั่งสมาธิแล้วเห่าหอน
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ ผมมีข้อสงสัยขอถามสักหน่อย เพราะเท่าที่อ่านมายังไม่เห็นมีใครถาม คำถามของผมมีดังนี้ครับ 1.การคิดทำร้ายผู้อื่น แต่ไม่ได้ลงมือกระทำ จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะหลายครั้งผมรู้สึกอย่างนี้ เช่น อยากเข้า ไปชกคนที่พูดจาไม่ดีกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำ 2.ผมเคยไปบางวัด มีคนมานั่งสมาธิกัน สักพักก็มีอาการแปลกๆ เช่น ลุกขึ้นมารำมาเห่าหอน ทำท่าเหมือนสัตว์ ฯลฯ มันเกิดจากอะไร ทำไมถึงเป็น อย่างนี้ครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาวิสัชนาให้ผม............................วิชัย
วิสัชนา : 1.บาปเกิดจากใจ แต่กรรมเกิดจากการกระทำ ถ้าถามว่าเป็นบาปไหม ตอบว่าเป็น แต่เป็นกรรมไหม ตอบว่าไม่เป็น เพราะเรายังไม่ได้ลงมือทำร้ายเขา 2.เกิดจากขาดสติ คุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วสิ่งแวดล้อมสร้างแรงบันดาลใจ จำไว้ว่าเรานั่งสมาธิเพื่อความสงบ ฉลาด สะอาด สว่าง นี่คือผลของการนั่งสมาธิ ไม่มีร่ายรำ เห่าหอนกระพือปีก เพราะนั่นคือเดรัจฉานวิชชา
การนั่งสมาธิคือการทำให้สติมันโต แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดสติ แสดงว่าไม่ใช่วิธีที่ถูก เพราะสติเมื่อโตแล้วจะมีกำลังกดสิ่งที่เป็นความต่ำทรามภายในให้ลดลงและตายไป เหมือนหญ้าที่ถูกหินทับนานๆก็ตายไป ถ้าหากว่านั่งสมาธิแล้วยังเต้นแร้งเต้นกา ก็แสดงว่าผิดแล้ว ต้องหาวิธีทำใหม่
รู้ไม่จริง
ปุจฉา : กราบเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ผมชอบอ่านคอลัมน์ปุจฉาวิสัชนามาก เพราะได้ความรู้ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตได้ดี และทำให้เข้าใจเรื่องวิธีปฏิบัติในศาสนาพุทธที่ถูกต้อง แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีการศึกษาดี มีความรู้ค่อนข้างมาก และมีสื่อที่ทำให้เข้าถึงความรู้มากมาย ทำให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ในด้านปฏิบัติแล้ว ทำไมคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำความชั่วมากกว่าทำความดีโดยเฉพาะคนที่มีความรู้สูงๆยิ่งทำความชั่วกันมากเป็นเพราะเหตุใดครับ.........................เมธา
วิสัชนา : เพราะเขารู้ไม่จริง ได้แค่รู้จำเฉยๆ ความรู้เป็นที่พึ่งของตัวเราและสังคม แต่ที่ ว่ารู้แล้วยังทำชั่ว ก็แสดงว่าความรู้นั้นไม่ได้เป็นที่พึ่งแก่เขา จึงกลายเป็นว่าต้องไปพึ่งคนอื่น และกลายเป็นว่าไปทำให้คนอื่นมีมลภาวะเสียหาย เมื่อไม่ได้รู้จริงก็แสดงว่าแค่จดจำ มาเฉยๆ เมื่อรู้จำมันก็เป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ เพราะถ้ารู้จริงๆ มันต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และก็ป้องกันความผิดพลาดเสียหายให้แก่ตัวเองได้
เพราะฉะนั้น สำคัญคือ รู้อะไรต้องรู้ให้จริง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือรู้ว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่และแปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลาย พระองค์รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ พระองค์จึงอุทานว่า อ้อ..เรารู้ล่ะ เพราะความรู้อย่างนี้มันไม่มีในคนอื่น และสามารถเป็นที่พึ่งแก่พระองค์ได้ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวงได้
ปัญญากับสัญญามันคนละเรื่องกัน ปัญญาคือสิ่งที่ไม่เคยพบได้พบ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏ ได้ปรากฏ แต่สัญญาคือความจดจำ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เกิดจากสัญญา เขาไม่เรียกว่ารู้ ถ้าจะเป็นตัวรู้จริงๆต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนได้
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่พุทธะอิสระ ดิฉันแต่งงานมาได้ปีกว่าแล้ว คบกันไม่นานก็แต่งเลย มารู้ตอนหลังว่าสามีเป็นคนที่มีราคจริตมาก หมกมุ่นอยู่ในเรื่องกาม ซึ่งลึกๆ แล้วดิฉันไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ที่แต่งงานด้วยเพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะสม ทำให้เรา มักมีปากเสียงกันเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นฝ่ายเงียบ ก็เลยทำให้รู้อีกว่าเขาเป็นคนมีโมหะจริต โทสะจริต อยู่มากๆ ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ เพราะดิฉันเองก็อยากจะช่วยเหลือเขาให้พบกับทางสว่างบ้าง และเราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก.............สาวบ้านนอก
วิสัชนา : มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะคนเราทำอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่ง่ายกับการที่จะไปแก้ อุปนิสัยของคนที่ติดมาจากอดีตชาติ ให้หมดไปในชาติปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด เพราะมันใช้เวลาสั่งสมมาเป็นร้อยๆพันๆชาติ จะใช้เวลาแค่พริบตากับการกำราบทิ้งไปคง ไม่ได้ ถ้าคุณสงสารเมตตาอยากช่วยเขาจริงๆเบื้องต้นต้องทำให้เขาไว้ใจคุณวางใจคุณ เชื่อใจคุณ แล้วคุณก็ใช้ความวางใจเชื่อใจนั้นแก้ปัญหาที่มีอยู่ในตัวเขาทีละเล็กละน้อย คล้อยตามเขาบ้าง และทำให้เขาคล้อยตามเราบ้าง ค่อยๆชี้นำกันไป แต่ไม่ใช่บอกว่าพอ เราไม่ชอบ แต่เขาอยากได้ ก็เลยปฏิเสธ อย่างนั้นก็คุยกันคนละทาง
วิธีที่จะทำได้ดีที่สุดก็คือต้องทำให้เขารู้จักผ่อนคลาย อย่าหมกมุ่น อย่าสนใจ ในวิถีชีวิต ที่เป็นอยู่ เหมือนกับการกำมือไว้ทั้งวันมันเมื่อย ก็บอกให้เขาหาวิธีผ่อนคลายซะบ้าง
สุดท้ายมันก็ค่อยๆหายไปเอง แต่ต้องใช้เวลาและความอดทนค่อยๆดึงความเห็นผิด ความเข้าใจผิดของเขาให้ออกไป ธรรมชาติของคนที่เป็นพวกเดียวกันย่อมคุยกันรู้เรื่อง ดี กว่าทำตนให้เป็นคนละพวกแล้วคุยกันคนละเรื่อง แล้วก็จะไม่รู้เรื่องในที่สุด
นั่งสมาธิแล้วเห่าหอน
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ ผมมีข้อสงสัยขอถามสักหน่อย เพราะเท่าที่อ่านมายังไม่เห็นมีใครถาม คำถามของผมมีดังนี้ครับ 1.การคิดทำร้ายผู้อื่น แต่ไม่ได้ลงมือกระทำ จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะหลายครั้งผมรู้สึกอย่างนี้ เช่น อยากเข้า ไปชกคนที่พูดจาไม่ดีกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำ 2.ผมเคยไปบางวัด มีคนมานั่งสมาธิกัน สักพักก็มีอาการแปลกๆ เช่น ลุกขึ้นมารำมาเห่าหอน ทำท่าเหมือนสัตว์ ฯลฯ มันเกิดจากอะไร ทำไมถึงเป็น อย่างนี้ครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาวิสัชนาให้ผม............................วิชัย
วิสัชนา : 1.บาปเกิดจากใจ แต่กรรมเกิดจากการกระทำ ถ้าถามว่าเป็นบาปไหม ตอบว่าเป็น แต่เป็นกรรมไหม ตอบว่าไม่เป็น เพราะเรายังไม่ได้ลงมือทำร้ายเขา 2.เกิดจากขาดสติ คุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วสิ่งแวดล้อมสร้างแรงบันดาลใจ จำไว้ว่าเรานั่งสมาธิเพื่อความสงบ ฉลาด สะอาด สว่าง นี่คือผลของการนั่งสมาธิ ไม่มีร่ายรำ เห่าหอนกระพือปีก เพราะนั่นคือเดรัจฉานวิชชา
การนั่งสมาธิคือการทำให้สติมันโต แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดสติ แสดงว่าไม่ใช่วิธีที่ถูก เพราะสติเมื่อโตแล้วจะมีกำลังกดสิ่งที่เป็นความต่ำทรามภายในให้ลดลงและตายไป เหมือนหญ้าที่ถูกหินทับนานๆก็ตายไป ถ้าหากว่านั่งสมาธิแล้วยังเต้นแร้งเต้นกา ก็แสดงว่าผิดแล้ว ต้องหาวิธีทำใหม่
รู้ไม่จริง
ปุจฉา : กราบเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ผมชอบอ่านคอลัมน์ปุจฉาวิสัชนามาก เพราะได้ความรู้ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตได้ดี และทำให้เข้าใจเรื่องวิธีปฏิบัติในศาสนาพุทธที่ถูกต้อง แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีการศึกษาดี มีความรู้ค่อนข้างมาก และมีสื่อที่ทำให้เข้าถึงความรู้มากมาย ทำให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ในด้านปฏิบัติแล้ว ทำไมคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำความชั่วมากกว่าทำความดีโดยเฉพาะคนที่มีความรู้สูงๆยิ่งทำความชั่วกันมากเป็นเพราะเหตุใดครับ.........................เมธา
วิสัชนา : เพราะเขารู้ไม่จริง ได้แค่รู้จำเฉยๆ ความรู้เป็นที่พึ่งของตัวเราและสังคม แต่ที่ ว่ารู้แล้วยังทำชั่ว ก็แสดงว่าความรู้นั้นไม่ได้เป็นที่พึ่งแก่เขา จึงกลายเป็นว่าต้องไปพึ่งคนอื่น และกลายเป็นว่าไปทำให้คนอื่นมีมลภาวะเสียหาย เมื่อไม่ได้รู้จริงก็แสดงว่าแค่จดจำ มาเฉยๆ เมื่อรู้จำมันก็เป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ เพราะถ้ารู้จริงๆ มันต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และก็ป้องกันความผิดพลาดเสียหายให้แก่ตัวเองได้
เพราะฉะนั้น สำคัญคือ รู้อะไรต้องรู้ให้จริง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือรู้ว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่และแปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลาย พระองค์รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ พระองค์จึงอุทานว่า อ้อ..เรารู้ล่ะ เพราะความรู้อย่างนี้มันไม่มีในคนอื่น และสามารถเป็นที่พึ่งแก่พระองค์ได้ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวงได้
ปัญญากับสัญญามันคนละเรื่องกัน ปัญญาคือสิ่งที่ไม่เคยพบได้พบ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏ ได้ปรากฏ แต่สัญญาคือความจดจำ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เกิดจากสัญญา เขาไม่เรียกว่ารู้ ถ้าจะเป็นตัวรู้จริงๆต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนได้
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)