ขอธรรมะแก้ความหดหู่
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ลูกทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำมาหลายปีแล้ว ทุกๆวันที่ต้องทำงานกับผู้ป่วย ก็ได้พบเห็นแต่สิ่ง ที่ไม่ค่อยเบิกบาน เพราะทุกวันจะมีทั้งเด็กผู้ใหญ่เจ็บไข้ได้ป่วย มาด้วยโรคต่างๆกัน บางคนดูเหมือนจะดีขึ้น แต่แล้วอาการก็ทรุดหนัก เห็นกันไม่กี่วันก็จากไปแล้ว พวกญาติพี่น้องก็ร้องไห้เสียใจ ทำให้บางครั้งลูกก็พลอยมีจิตใจห่อเหี่ยว หดหู่เศร้าหมองไปกับเขาด้วย และถ้าเป็นคนที่ลูกรู้จักใกล้ชิดคุ้นเคย ก็ยิ่งเกิดอาการเศร้าใจมากขึ้น ทุกวันนี้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีความทุกข์ตลอดเวลา แม้แต่เวลากลับไปบ้านแล้ว บางครั้งก็ไม่ค่อยมีความสุข บางทีไปเจอพวกเพื่อนเก่าทุกคนสนุกสนานเฮฮา แต่ลูกมักจะมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดเสมอ(เพื่อนบอก) ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ซีเรียสเวลาอยู่กับเพื่อนๆ นะคะ แต่ยังดีที่เพื่อนๆเข้าใจว่าลูกทำงานในที่ที่ต้องเจอแต่เรื่องหดหู่ ลูกอยากทราบว่าอาการอย่างนี้ควรใช้ธรรมะข้อใด หรือควรทำใจอย่างไรในการที่จะทำให้ทุกข์ต่างๆบรรเทาลงบ้างคะกราบขอบพระคุณค่ะ.......อรนันท์
วิสัชนา : ที่จริงแล้ว ทุกข์ไม่ได้อยู่กับคุณ ทุกข์อยู่กับคนอื่น แต่ใจคุณไปรับเอามาเอง วิธีการที่จะอยู่แบบไม่เป็นทุกข์ก็คือ รักษาสติ เจริญสติ ทำให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวทั่วพร้อม จริงๆแล้ว ฉันว่านั่นเป็นครูที่วิเศษที่จะสอนเราให้รู้ความเป็นจริงของชีวิต
ถ้าเราจะเจริญสติ พิจารณาภูมิธรรมเหล่านั้นว่า สรรพสิ่งในโลก จากเด็กๆก็มาเจริญวัย จากเจริญวัยก็มาเสื่อมทรามในวัย แล้วก็มาสิ้นวัย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ทุกเพศทุกวัยต้องประสบพบพาน ถ้าคิดให้เป็นแบบนี้แล้วเราก็จะไม่หลงกับกระบวนการของการมีชีวิต ชีวิตเราจะได้เป็นอยู่อย่างไม่ประมาท ไม่เมา ไม่ขาดสติ และดำรงอยู่ได้อย่างผู้ชนะในที่สุด
แม้แต่นักบวชเองก็พยายามจะหาภาพเกิด แก่ เจ็บ ตาย มอง เพื่อให้สามารถปลงจาก อุปกิเลสทั้งปวง จากตัณหาอุปาทานทั้งหลาย จากอวชิชชาทั้งมวลที่เกาะกินหัวใจ ให้ลดน้อย ลงด้วยการมองสิ่งที่ตรงกันข้าม คนที่มีราคจริต โมหจริต โทสจริต ถ้าเห็นเกิดแก่ เจ็บ ตาย ทำให้สลดสังเวช แล้วจิตก็ไม่เฟื่องไม่ฟู ไม่กลายเป็นบุคคลที่ทะเยอทะยานอยาก ตามรูปตามรส ตามกลิ่น ตามเสียง ตามสัมผัส
ส่วนวิธีที่จะปรุงจิตให้ชุ่มชื่นขึ้น ก็ด้วยการวิเคราะห์ให้เห็นภูมิธรรมว่า แม้แต่ตัวเราก็หนีไม่พ้น แต่ที่เราต้องอยู่อย่างนี้เพราะเราต้องใช้กรรม เมื่อใช้กรรมแล้วก็อย่าเผลอไปสร้างกรรมใหม่ ทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วรักษาใจให้มั่นคง
สงสัยเรื่องสวดมนต์กับบทสวด
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมอยากจะเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการสวดมนต์ครับ เพราะปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สวดมนต์ คือพอง่วงก็นอนเลย แต่ที่บ้านผมก็มีห้องพระนะครับ ผมเลยอยากรู้ว่าการที่เราไม่สวดมนต์เลยนั้นจะผิดหรือไม่ แล้วการสวดมนต์จำเป็น จะต้องสวดต่อหน้าพระพุทธรูปหรือไม่ หรือต้องสวดในที่ที่ต้องมีพระพุทธรูปหรือเปล่า และสามารถสวดมนต์ในขณะขับรถได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ผมใช้ชีวิตอยู่บนรถมากกว่า ต้องขับไปโน่นไปนี่อยู่ตลอด และควรจะสวดบทใดถึงจะดีที่สุดครับ เพราะเพื่อนๆ บอกว่าต้องสวดบทนั้นบทนี้ถึงจะดี จะช่วยคุ้มครองป้องกันภัย ผมก็เลยสับสน ขอให้หลวงปู่ตอบข้อสงสัยนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ.......ภูษิต
วิสัชนา : 1.พระพุทธเจ้าสอนให้เราสวดมนต์ภาวนาเพื่อความสะอาด ฉลาด สว่าง สงบ เพราะฉะนั้นคุณมีสิทธิ์ที่จะสวดหรือไม่สวดก็ได้ ไม่ผิดหรอก
2.ไม่จำเป็น
3.ที่จริงแล้วการขับรถคือการเอาจิตไปจดจ่อต่อสิ่งที่กำลังกระทำ การที่มือคุณถือพวงมาลัย เท้ายังเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก แล้วปากคุณสวดมนต์ สมองคุณไปคิดถึงมนต์ที่กำลังสวด ทำให้จิตใจเลื่อนลอย แล้วเกิดมีอะไรขึ้นมาฉับพลันข้างหน้า คุณจะแก้ไขปัญหาอย่างไร มันน่าจะเป็นความประมาทมากกว่า
4.ถ้าสวดบทนั้นบทนี้แล้วตั้งแต่เกิดจนตาย ยังไม่รู้ว่านโมตัสสะคืออะไร สวดแล้วก็ยังโง่เหมือนเดิม สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าสวดแล้วเข้าใจ รู้ความหมาย ทำให้จิตสะอาด สว่าง สงบ สมาธิตั้งมั่น ถ้าได้ผลอย่างนี้ ถือว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นความดี เป็นบุญของเรา ทำให้เจริญรุ่งเรือง
อายุยืน มีบุญหรือมีกรรม
ปุจฉา : นมัสการถามหลวงปู่ ดิฉันมี ข้อที่อยากให้หลวงปู่ช่วยตอบ เพราะสงสัยมานาน 1.การที่มีอายุยืนยาวนั้น เป็นเพราะมีบุญมาก หรือมีกรรมมากคะ เพราะส่วนใหญ่คนมักจะบอกกันว่าคนที่อายุยืน แสดงว่ามีบุญ แต่ดิฉันก็เห็นคนแก่หลายคนที่อายุยืนมากๆแต่มีชีวิตที่ลำบาก บางคนต้องเร่ร่อน ขอทาน บางคนก็ถูกลูกหลานทอดทิ้ง เจ็บป่วยก็ไม่มีใครดูแล หรือบางทีคนดูแลก็ตายไปก่อน อย่างนี้จะเรียกว่ามีบุญหรือคะ 2.ทำไมคนถึงบอกว่าการได้เกิดมาเป็นผู้ชาย แสดงว่ามีบุญมากกว่าเกิดมาเป็นผู้หญิง เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าคะ ขอขอบพระคุณที่หลวงปู่กรุณาตอบให้หายสงสัยค่ะ.......ภควรรณ
วิสัชนา : 1.การมีอายุยืนไม่ใช่มีบุญเสมอไป เพราะบางครั้งบาปกรรมยังมีอยู่ มีกรรมชั่วก็ทำให้ต้องรับผลแห่งความชั่วนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย แต่ถ้าอายุยืนแล้วสุขภาพดี สมอง แจ่มใส ร่างกายปกติ แล้วมีกำลังวังชา แถมยังทำดีรักษาศีลเจริญภาวนา อย่างนี้ก็ถือว่าเป็น ผู้มีบุญ
2.ผู้หญิงผู้ชายมีบุญเท่ากัน สำคัญว่าตั้งใจที่จะทำให้เกิดบุญมากน้อยแค่ไหน ผู้ชาย บวชพระได้ ผู้หญิงก็บวชชีได้ ผู้ชายเจริญสติภาวนาได้ ผู้หญิงก็ทำได้ และบางครั้งอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ อย่าไปคิดว่าสถานภาพต่างกันบุญวาสนาก็เลยไม่เหมือนกัน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 91 มิ.ย. 51 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ลูกทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำมาหลายปีแล้ว ทุกๆวันที่ต้องทำงานกับผู้ป่วย ก็ได้พบเห็นแต่สิ่ง ที่ไม่ค่อยเบิกบาน เพราะทุกวันจะมีทั้งเด็กผู้ใหญ่เจ็บไข้ได้ป่วย มาด้วยโรคต่างๆกัน บางคนดูเหมือนจะดีขึ้น แต่แล้วอาการก็ทรุดหนัก เห็นกันไม่กี่วันก็จากไปแล้ว พวกญาติพี่น้องก็ร้องไห้เสียใจ ทำให้บางครั้งลูกก็พลอยมีจิตใจห่อเหี่ยว หดหู่เศร้าหมองไปกับเขาด้วย และถ้าเป็นคนที่ลูกรู้จักใกล้ชิดคุ้นเคย ก็ยิ่งเกิดอาการเศร้าใจมากขึ้น ทุกวันนี้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีความทุกข์ตลอดเวลา แม้แต่เวลากลับไปบ้านแล้ว บางครั้งก็ไม่ค่อยมีความสุข บางทีไปเจอพวกเพื่อนเก่าทุกคนสนุกสนานเฮฮา แต่ลูกมักจะมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดเสมอ(เพื่อนบอก) ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ซีเรียสเวลาอยู่กับเพื่อนๆ นะคะ แต่ยังดีที่เพื่อนๆเข้าใจว่าลูกทำงานในที่ที่ต้องเจอแต่เรื่องหดหู่ ลูกอยากทราบว่าอาการอย่างนี้ควรใช้ธรรมะข้อใด หรือควรทำใจอย่างไรในการที่จะทำให้ทุกข์ต่างๆบรรเทาลงบ้างคะกราบขอบพระคุณค่ะ.......อรนันท์
วิสัชนา : ที่จริงแล้ว ทุกข์ไม่ได้อยู่กับคุณ ทุกข์อยู่กับคนอื่น แต่ใจคุณไปรับเอามาเอง วิธีการที่จะอยู่แบบไม่เป็นทุกข์ก็คือ รักษาสติ เจริญสติ ทำให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวทั่วพร้อม จริงๆแล้ว ฉันว่านั่นเป็นครูที่วิเศษที่จะสอนเราให้รู้ความเป็นจริงของชีวิต
ถ้าเราจะเจริญสติ พิจารณาภูมิธรรมเหล่านั้นว่า สรรพสิ่งในโลก จากเด็กๆก็มาเจริญวัย จากเจริญวัยก็มาเสื่อมทรามในวัย แล้วก็มาสิ้นวัย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ทุกเพศทุกวัยต้องประสบพบพาน ถ้าคิดให้เป็นแบบนี้แล้วเราก็จะไม่หลงกับกระบวนการของการมีชีวิต ชีวิตเราจะได้เป็นอยู่อย่างไม่ประมาท ไม่เมา ไม่ขาดสติ และดำรงอยู่ได้อย่างผู้ชนะในที่สุด
แม้แต่นักบวชเองก็พยายามจะหาภาพเกิด แก่ เจ็บ ตาย มอง เพื่อให้สามารถปลงจาก อุปกิเลสทั้งปวง จากตัณหาอุปาทานทั้งหลาย จากอวชิชชาทั้งมวลที่เกาะกินหัวใจ ให้ลดน้อย ลงด้วยการมองสิ่งที่ตรงกันข้าม คนที่มีราคจริต โมหจริต โทสจริต ถ้าเห็นเกิดแก่ เจ็บ ตาย ทำให้สลดสังเวช แล้วจิตก็ไม่เฟื่องไม่ฟู ไม่กลายเป็นบุคคลที่ทะเยอทะยานอยาก ตามรูปตามรส ตามกลิ่น ตามเสียง ตามสัมผัส
ส่วนวิธีที่จะปรุงจิตให้ชุ่มชื่นขึ้น ก็ด้วยการวิเคราะห์ให้เห็นภูมิธรรมว่า แม้แต่ตัวเราก็หนีไม่พ้น แต่ที่เราต้องอยู่อย่างนี้เพราะเราต้องใช้กรรม เมื่อใช้กรรมแล้วก็อย่าเผลอไปสร้างกรรมใหม่ ทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วรักษาใจให้มั่นคง
สงสัยเรื่องสวดมนต์กับบทสวด
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมอยากจะเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการสวดมนต์ครับ เพราะปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สวดมนต์ คือพอง่วงก็นอนเลย แต่ที่บ้านผมก็มีห้องพระนะครับ ผมเลยอยากรู้ว่าการที่เราไม่สวดมนต์เลยนั้นจะผิดหรือไม่ แล้วการสวดมนต์จำเป็น จะต้องสวดต่อหน้าพระพุทธรูปหรือไม่ หรือต้องสวดในที่ที่ต้องมีพระพุทธรูปหรือเปล่า และสามารถสวดมนต์ในขณะขับรถได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ผมใช้ชีวิตอยู่บนรถมากกว่า ต้องขับไปโน่นไปนี่อยู่ตลอด และควรจะสวดบทใดถึงจะดีที่สุดครับ เพราะเพื่อนๆ บอกว่าต้องสวดบทนั้นบทนี้ถึงจะดี จะช่วยคุ้มครองป้องกันภัย ผมก็เลยสับสน ขอให้หลวงปู่ตอบข้อสงสัยนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ.......ภูษิต
วิสัชนา : 1.พระพุทธเจ้าสอนให้เราสวดมนต์ภาวนาเพื่อความสะอาด ฉลาด สว่าง สงบ เพราะฉะนั้นคุณมีสิทธิ์ที่จะสวดหรือไม่สวดก็ได้ ไม่ผิดหรอก
2.ไม่จำเป็น
3.ที่จริงแล้วการขับรถคือการเอาจิตไปจดจ่อต่อสิ่งที่กำลังกระทำ การที่มือคุณถือพวงมาลัย เท้ายังเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก แล้วปากคุณสวดมนต์ สมองคุณไปคิดถึงมนต์ที่กำลังสวด ทำให้จิตใจเลื่อนลอย แล้วเกิดมีอะไรขึ้นมาฉับพลันข้างหน้า คุณจะแก้ไขปัญหาอย่างไร มันน่าจะเป็นความประมาทมากกว่า
4.ถ้าสวดบทนั้นบทนี้แล้วตั้งแต่เกิดจนตาย ยังไม่รู้ว่านโมตัสสะคืออะไร สวดแล้วก็ยังโง่เหมือนเดิม สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าสวดแล้วเข้าใจ รู้ความหมาย ทำให้จิตสะอาด สว่าง สงบ สมาธิตั้งมั่น ถ้าได้ผลอย่างนี้ ถือว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นความดี เป็นบุญของเรา ทำให้เจริญรุ่งเรือง
อายุยืน มีบุญหรือมีกรรม
ปุจฉา : นมัสการถามหลวงปู่ ดิฉันมี ข้อที่อยากให้หลวงปู่ช่วยตอบ เพราะสงสัยมานาน 1.การที่มีอายุยืนยาวนั้น เป็นเพราะมีบุญมาก หรือมีกรรมมากคะ เพราะส่วนใหญ่คนมักจะบอกกันว่าคนที่อายุยืน แสดงว่ามีบุญ แต่ดิฉันก็เห็นคนแก่หลายคนที่อายุยืนมากๆแต่มีชีวิตที่ลำบาก บางคนต้องเร่ร่อน ขอทาน บางคนก็ถูกลูกหลานทอดทิ้ง เจ็บป่วยก็ไม่มีใครดูแล หรือบางทีคนดูแลก็ตายไปก่อน อย่างนี้จะเรียกว่ามีบุญหรือคะ 2.ทำไมคนถึงบอกว่าการได้เกิดมาเป็นผู้ชาย แสดงว่ามีบุญมากกว่าเกิดมาเป็นผู้หญิง เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าคะ ขอขอบพระคุณที่หลวงปู่กรุณาตอบให้หายสงสัยค่ะ.......ภควรรณ
วิสัชนา : 1.การมีอายุยืนไม่ใช่มีบุญเสมอไป เพราะบางครั้งบาปกรรมยังมีอยู่ มีกรรมชั่วก็ทำให้ต้องรับผลแห่งความชั่วนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย แต่ถ้าอายุยืนแล้วสุขภาพดี สมอง แจ่มใส ร่างกายปกติ แล้วมีกำลังวังชา แถมยังทำดีรักษาศีลเจริญภาวนา อย่างนี้ก็ถือว่าเป็น ผู้มีบุญ
2.ผู้หญิงผู้ชายมีบุญเท่ากัน สำคัญว่าตั้งใจที่จะทำให้เกิดบุญมากน้อยแค่ไหน ผู้ชาย บวชพระได้ ผู้หญิงก็บวชชีได้ ผู้ชายเจริญสติภาวนาได้ ผู้หญิงก็ทำได้ และบางครั้งอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ อย่าไปคิดว่าสถานภาพต่างกันบุญวาสนาก็เลยไม่เหมือนกัน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 91 มิ.ย. 51 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)