หัวหน้าใหม่ขอคติเตือนใจ
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งมา 5-6 ปีแล้ว บริษัทมีสาขาอยู่ที่ต่างจังหวัดหลายแห่ง ผู้จัดการบอก ว่าผมเป็นคนทำงานดี และเขาไว้ใจผมมาก จะให้ผมไปเป็นหัวหน้าสาขาที่เปิดใหม่ ผมดีใจ มาก แต่ก็ยังรู้สึกกลัวๆ เพราะไม่เคยเป็นหัวหน้าใครมาก่อน กลัวว่าจะทำให้งานของบริษัทเสียหาย ก็เลยอยากจะขอคติเตือนใจจากหลวงปู่ในการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ และความรุ่งเรือง กราบขอบพระคุณหลวงปู่มากครับ.....................................................................................วิบูลย์
วิสัชนา : การบริหารที่ดีก็คือต้องเป็นคนซื่อตรง จริงใจ ให้อภัย และมีเมตตา 4 อย่างนี้เป็นคุณสมบัติของผู้นำและนักบริหารที่ดี
อานิสงส์เนกขัมบารมีกับทานบารมี
ปุจฉา : นมัสการพระคุณเจ้าหลวงปู่พุทธะอิสระ ดิฉันเพิ่งศึกษาธรรมะไม่นานมานี้ แต่ศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ค่อยได้ไปวัด เพราะไม่สะดวก เนื่องจากต้องทำงาน บางครั้งก็ต้องทำเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่ดิฉันก็หมั่นทำบุญใส่บาตรพระ ปล่อยนกปลาเท่าที่ทำได้ เพื่อนมาชวนไปบวชเนกขัม ห่มผ้าขาว ดิฉันก็ยังไม่มีเวลาไปเลย ดิฉันก็เลยอยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่าการปฏิบัติเนกขัมบารมี โดยปฏิบัติเองที่บ้าน กับการทำบุญด้วย การสร้างทานบารมีกับผู้ทรงศีล อย่างไหนจะมีอานิสงส์สูงกว่ากันคะ....................................................................................................ปิยพร
วิสัชนา : จริงๆแล้ววิธีการทำบุญมี 10 อย่าง ใน 10 อย่างก็มีทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย 10 อย่างนี้ รวมแล้วเหลือ 3 คือทาน ศีล ภาวนา ทานกับศีลนี้เป็นบุญที่ได้ผลอันเสมอ แต่ภาวนาเป็นบุญที่ให้ผล อันรุนแรงคือมีน้ำหนักมาก ให้บุญมากกว่า เพราะการบำเพ็ญเพียรภาวนา เราไม่ต้องอาศัยคนอื่นให้เรา เราไม่ต้องหวาดผวาวิตกว่าเราทำบุญกับคนที่มาหลอกล่อเรากินหรือเปล่า
แต่คนทั่วไปไม่ค่อยอยากทำกัน เพราะขี้เกียจ กลัวลำบาก และมีความรู้สึกว่ามันทำได้ยาก ไม่มีเวลา แต่ถ้าคิดว่าการภาวนาเป็นเรื่องดี เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่เราทำได้ และทำด้วยตัวเอง และถ้าทุกคนทำก็เชื่อได้ว่าทุกคนจะเป็นพุทธบริษัทที่ดี คือผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปอิงอาศัยผู้อื่น ซึ่งมันจะถูกตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
มือใหม่หัดปฏิบัติ
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ ดิฉันเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติธรรมได้ไม่นาน เรียกว่ายังเป็น มือใหม่ แรกๆก็แค่นั่งสมาธิให้สงบเฉยๆ สงบบ้างไม่สงบบ้าง เพื่อฝึกสติให้อยู่กับเนื้อ กับตัว และตอนนี้ก็เริ่มหันมาดูจิตของตัวเอง จากเมื่อก่อนไม่เคยดูจิตเลย แต่ปัจจุบันใช้สติตามดูจิต เห็นว่าจิตของตัวเองบางทีก็คิดชั่วมาก บางทีก็คิดดีมาก ก็เลยมีคำถามว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ อ้อ..แล้วการที่จะทำให้เราพูดดีคิดดี ทำดี ต้องเริ่มจากอะไรคะ ใช่สติหรือเปล่า ขอขอบพระคุณค่ะ............................ ..................................................โอ้เอ้
วิสัชนา : 1. แค่รู้ว่ามันคิดดี แค่รู้ ว่ามันคิดชั่ว มันก็เป็นการเจริญมหาสติแล้วไม่ต้องทำอย่างไร ก็ดูมันต่อไป ว่าดีมันคิดกี่นาที อัปรีย์มันคิดกี่ชั่วโมง แค่นั้นล่ะ
2. ใช่..ต้องเริ่มจากการมีสติ จนเป็นสมาธิ บังเกิดปัญญา
เป็นหนี้อยากฆ่าตัวตาย
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ขณะนี้ผมรู้สึกท้อแท้ในชีวิตมาก รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เพราะตอนนี้ผมไม่มีอะไรเหลือ บริษัทของผมต้องปิดไปแล้ว บ้านกับที่ดินก็ต้อง เอาไปจำนองใช้หนี้ธนาคารที่กู้ยืมมาลงทุน ผมเครียดมากก็เลยหันไปดื่มเหล้า เพื่อให้ มันลืม แต่พอหายเมา ก็เครียดเหมือนเดิม ผมคิดอะไรไม่ออก มีคนบอกว่าให้ผมสวดมนต์ไหว้พระ จิตใจจะได้สบาย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ผมทำให้พ่อแม่พี่น้องครอบครัว
ผมต้องเดือดร้อนที่ผมเป็นคนไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนมากมาย ตอนนั้นพ่อก็เตือน แม่ก็เตือน ภรรยาผมก็บอกว่าทำเท่าที่เรามีเงินอยู่ดีกว่า แต่ผมไม่ฟังใครเลย ผลสุดท้าย ผมก็หมดตัว แถมมีหนี้สินที่ต้องชดใช้อีกมาก ผมคิดว่าถ้าผมตายแล้ว ทุกคนก็ไม่ต้อง มารับผิดชอบ พวกเขาจะได้ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป มีคนบอกผมว่าการฆ่าตัวตายถือเป็น บาปอย่างมหันต์ แต่ถ้าการฆ่าตัวตายนั้นทำให้ญาติพี่น้องพ้นทุกข์ อย่างนี้ จะเป็นทาง ที่ดีกว่าหรือไม่ครับ............................................................
.............................................................ธนัญชัย
วิสัชนา : การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องของคนที่อ่อนแอทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของ คนที่ขาดที่พึ่งทางอารมณ์ เป็นเรื่องของคนที่ไม่มีที่พักพิงอิงอาศัยทางจิตวิญญาณ และเป็นเรื่องของคนที่สิ้นหนทาง คนที่ฆ่าตัวตายไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในโลก เป็นคนขี้แพ้ เป็นคนไร้สาระ เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ในการมีชีวิต และมีชีวิต อยู่อย่างเป็นคนที่หาประโยชน์มิได้ เพราะปัญหาใดๆ ในโลกไม่มีอะไรที่มันแก้ไม่ได้ถ้าเราใช้สติ ใช้สมอง ใช้จิตวิญญาณของความรู้ ตื่น เบิกบาน
เพราะการที่เราเข้าไปเรียนรู้ปัญหา ทำให้เรากระจ่างชัด และแกร่งกล้าที่จะแก้ไขปัญหา แต่ถ้าเรา เกรงกลัว หวาดผวา สะดุ้งต่อปัญหา แล้วชีวิตนี้เรา จะมีความหมายอะไร ชีวิตที่ไร้ความหมายคือชีวิตที่ปฏิเสธปัญหา ปฏิเสธความจริง และหนีปัญหา ทุกอย่างในชีวิตเป็นปัญหาทั้งนั้น ถ้าเราบอกว่าเราเกลียด เรากลัวเราไม่ต้องการเจอปัญหา แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นเราต้องไปเรียนรู้มัน ปัญหาทุกอย่างมันเป็นการเปิดประตูวิญญาณให้เรามีประสบการณ์ในการเรียนรู้ แต่ถ้าเราหนีมัน เราก็จะไม่ได้เรียนรู้มัน วันหลังไปเจอมัน
เราก็ต้องแพ้มันอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเจอมันตรงนี้ ก็ ต้องเรียนรู้มันตรงนี้ เอาชนะมันให้ได้ด้วยการเข้าไป ศึกษามันไปพิสูจน์มัน และหาวิธีเอาชนะมัน ไม่ใช่หนีมัน แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งมา 5-6 ปีแล้ว บริษัทมีสาขาอยู่ที่ต่างจังหวัดหลายแห่ง ผู้จัดการบอก ว่าผมเป็นคนทำงานดี และเขาไว้ใจผมมาก จะให้ผมไปเป็นหัวหน้าสาขาที่เปิดใหม่ ผมดีใจ มาก แต่ก็ยังรู้สึกกลัวๆ เพราะไม่เคยเป็นหัวหน้าใครมาก่อน กลัวว่าจะทำให้งานของบริษัทเสียหาย ก็เลยอยากจะขอคติเตือนใจจากหลวงปู่ในการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ และความรุ่งเรือง กราบขอบพระคุณหลวงปู่มากครับ.....................................................................................วิบูลย์
วิสัชนา : การบริหารที่ดีก็คือต้องเป็นคนซื่อตรง จริงใจ ให้อภัย และมีเมตตา 4 อย่างนี้เป็นคุณสมบัติของผู้นำและนักบริหารที่ดี
อานิสงส์เนกขัมบารมีกับทานบารมี
ปุจฉา : นมัสการพระคุณเจ้าหลวงปู่พุทธะอิสระ ดิฉันเพิ่งศึกษาธรรมะไม่นานมานี้ แต่ศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ค่อยได้ไปวัด เพราะไม่สะดวก เนื่องจากต้องทำงาน บางครั้งก็ต้องทำเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่ดิฉันก็หมั่นทำบุญใส่บาตรพระ ปล่อยนกปลาเท่าที่ทำได้ เพื่อนมาชวนไปบวชเนกขัม ห่มผ้าขาว ดิฉันก็ยังไม่มีเวลาไปเลย ดิฉันก็เลยอยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่าการปฏิบัติเนกขัมบารมี โดยปฏิบัติเองที่บ้าน กับการทำบุญด้วย การสร้างทานบารมีกับผู้ทรงศีล อย่างไหนจะมีอานิสงส์สูงกว่ากันคะ....................................................................................................ปิยพร
วิสัชนา : จริงๆแล้ววิธีการทำบุญมี 10 อย่าง ใน 10 อย่างก็มีทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย 10 อย่างนี้ รวมแล้วเหลือ 3 คือทาน ศีล ภาวนา ทานกับศีลนี้เป็นบุญที่ได้ผลอันเสมอ แต่ภาวนาเป็นบุญที่ให้ผล อันรุนแรงคือมีน้ำหนักมาก ให้บุญมากกว่า เพราะการบำเพ็ญเพียรภาวนา เราไม่ต้องอาศัยคนอื่นให้เรา เราไม่ต้องหวาดผวาวิตกว่าเราทำบุญกับคนที่มาหลอกล่อเรากินหรือเปล่า
แต่คนทั่วไปไม่ค่อยอยากทำกัน เพราะขี้เกียจ กลัวลำบาก และมีความรู้สึกว่ามันทำได้ยาก ไม่มีเวลา แต่ถ้าคิดว่าการภาวนาเป็นเรื่องดี เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่เราทำได้ และทำด้วยตัวเอง และถ้าทุกคนทำก็เชื่อได้ว่าทุกคนจะเป็นพุทธบริษัทที่ดี คือผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปอิงอาศัยผู้อื่น ซึ่งมันจะถูกตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
มือใหม่หัดปฏิบัติ
ปุจฉา : นมัสการหลวงปู่ ดิฉันเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติธรรมได้ไม่นาน เรียกว่ายังเป็น มือใหม่ แรกๆก็แค่นั่งสมาธิให้สงบเฉยๆ สงบบ้างไม่สงบบ้าง เพื่อฝึกสติให้อยู่กับเนื้อ กับตัว และตอนนี้ก็เริ่มหันมาดูจิตของตัวเอง จากเมื่อก่อนไม่เคยดูจิตเลย แต่ปัจจุบันใช้สติตามดูจิต เห็นว่าจิตของตัวเองบางทีก็คิดชั่วมาก บางทีก็คิดดีมาก ก็เลยมีคำถามว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ อ้อ..แล้วการที่จะทำให้เราพูดดีคิดดี ทำดี ต้องเริ่มจากอะไรคะ ใช่สติหรือเปล่า ขอขอบพระคุณค่ะ............................ ..................................................โอ้เอ้
วิสัชนา : 1. แค่รู้ว่ามันคิดดี แค่รู้ ว่ามันคิดชั่ว มันก็เป็นการเจริญมหาสติแล้วไม่ต้องทำอย่างไร ก็ดูมันต่อไป ว่าดีมันคิดกี่นาที อัปรีย์มันคิดกี่ชั่วโมง แค่นั้นล่ะ
2. ใช่..ต้องเริ่มจากการมีสติ จนเป็นสมาธิ บังเกิดปัญญา
เป็นหนี้อยากฆ่าตัวตาย
ปุจฉา : กราบหลวงปู่ที่เคารพ ขณะนี้ผมรู้สึกท้อแท้ในชีวิตมาก รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เพราะตอนนี้ผมไม่มีอะไรเหลือ บริษัทของผมต้องปิดไปแล้ว บ้านกับที่ดินก็ต้อง เอาไปจำนองใช้หนี้ธนาคารที่กู้ยืมมาลงทุน ผมเครียดมากก็เลยหันไปดื่มเหล้า เพื่อให้ มันลืม แต่พอหายเมา ก็เครียดเหมือนเดิม ผมคิดอะไรไม่ออก มีคนบอกว่าให้ผมสวดมนต์ไหว้พระ จิตใจจะได้สบาย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ผมทำให้พ่อแม่พี่น้องครอบครัว
ผมต้องเดือดร้อนที่ผมเป็นคนไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนมากมาย ตอนนั้นพ่อก็เตือน แม่ก็เตือน ภรรยาผมก็บอกว่าทำเท่าที่เรามีเงินอยู่ดีกว่า แต่ผมไม่ฟังใครเลย ผลสุดท้าย ผมก็หมดตัว แถมมีหนี้สินที่ต้องชดใช้อีกมาก ผมคิดว่าถ้าผมตายแล้ว ทุกคนก็ไม่ต้อง มารับผิดชอบ พวกเขาจะได้ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป มีคนบอกผมว่าการฆ่าตัวตายถือเป็น บาปอย่างมหันต์ แต่ถ้าการฆ่าตัวตายนั้นทำให้ญาติพี่น้องพ้นทุกข์ อย่างนี้ จะเป็นทาง ที่ดีกว่าหรือไม่ครับ............................................................
.............................................................ธนัญชัย
วิสัชนา : การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องของคนที่อ่อนแอทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของ คนที่ขาดที่พึ่งทางอารมณ์ เป็นเรื่องของคนที่ไม่มีที่พักพิงอิงอาศัยทางจิตวิญญาณ และเป็นเรื่องของคนที่สิ้นหนทาง คนที่ฆ่าตัวตายไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในโลก เป็นคนขี้แพ้ เป็นคนไร้สาระ เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ในการมีชีวิต และมีชีวิต อยู่อย่างเป็นคนที่หาประโยชน์มิได้ เพราะปัญหาใดๆ ในโลกไม่มีอะไรที่มันแก้ไม่ได้ถ้าเราใช้สติ ใช้สมอง ใช้จิตวิญญาณของความรู้ ตื่น เบิกบาน
เพราะการที่เราเข้าไปเรียนรู้ปัญหา ทำให้เรากระจ่างชัด และแกร่งกล้าที่จะแก้ไขปัญหา แต่ถ้าเรา เกรงกลัว หวาดผวา สะดุ้งต่อปัญหา แล้วชีวิตนี้เรา จะมีความหมายอะไร ชีวิตที่ไร้ความหมายคือชีวิตที่ปฏิเสธปัญหา ปฏิเสธความจริง และหนีปัญหา ทุกอย่างในชีวิตเป็นปัญหาทั้งนั้น ถ้าเราบอกว่าเราเกลียด เรากลัวเราไม่ต้องการเจอปัญหา แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นเราต้องไปเรียนรู้มัน ปัญหาทุกอย่างมันเป็นการเปิดประตูวิญญาณให้เรามีประสบการณ์ในการเรียนรู้ แต่ถ้าเราหนีมัน เราก็จะไม่ได้เรียนรู้มัน วันหลังไปเจอมัน
เราก็ต้องแพ้มันอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเจอมันตรงนี้ ก็ ต้องเรียนรู้มันตรงนี้ เอาชนะมันให้ได้ด้วยการเข้าไป ศึกษามันไปพิสูจน์มัน และหาวิธีเอาชนะมัน ไม่ใช่หนีมัน แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)