ครั้งที่ 78 ความกตัญญูบูชาพระอัสสชิ
ผู้ช่วยพระสารีบุตรให้รู้ธรรม
พระสารีบุตรเป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์สัทธิวิหาริกและมนุษย์ผู้ปรารถนาบุญ จนบางครั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลาย คิดว่าท่านยังมีความโลภ ดังเรื่องต่อไปนี้
คราวหนึ่ง พระสารีบุตรอยู่จำพรรษาในชนบทแห่งหนึ่งพร้อมด้วยภิกษุบริวารประมาณ 500 พวกมนุษย์เลื่อมใสในท่าน ได้เตรียมผ้าจำนำพรรษาไว้เป็นอันมาก เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้วรีบเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาโดยที่ยังไม่ได้รับผ้าจำนำพรรษา ท่านสั่งภิกษุทั้งหลายที่ยังอยู่ในอาวาสนั้นว่า 'ถ้าทายกนำผ้าจำนำพรรษามาถวายก็ขอให้รับไว้แล้วส่งไป หรือส่งข่าวไปจะให้ภิกษุมารับ'
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า จนถึงเวลานี้ พระสารีบุตรคงยังมีตัณหาและความโลภอยู่เป็นแน่แท้ จึงได้สั่งภิกษุทั้งหลายไว้ว่า 'เมื่อพวกมนุษย์ถวายผ้าจำนำพรรษา ให้ส่งผ้าจำนำพรรษาไปแก่สัทธิวิหาริกของตน หรือเก็บไว้แล้วส่งข่าวไป'
พระศาสดาทรงทราบเรื่องที่ภิกษุทั้งหลายสนทนากันแล้วตรัสว่า 'ภิกษุทั้งหลาย! สารีบุตรไม่มีตัณหา ไม่มีความโลภแล้ว เธอสั่งความไว้อย่างนั้นก็ด้วยคิดว่า พวกมนุษย์ผู้หวังบุญจะไม่เสื่อมจากบุญ และสัทธิวิหาริกของตนจะไม่เสื่อมจากลาภอันชอบธรรมซึ่งพวกตนควรจะได้ ความโลภในลาภหามีแก่สารีบุตรไม่'
'ภิกษุทั้งหลาย! ตัณหาของผู้ใดไม่มีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ไม่มีความหวัง พรากกิเลสได้แล้ว เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์'
ภราดา! การกระทำของผู้ไม่มีกิเลสนั้น บางทีก็มีอาการคล้ายมีกิเลส ผู้มีภูมิจิตระดับเดียวกันหรือเหนือกว่าเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ทำนองเดียวกัน การกระทำของคนมีกิเลสบางคราวก็มีอาการเสมือนไม่มีกิเลส แต่ความจริงมี เรื่องนี้รู้ได้ยาก
อีกคราวหนึ่งไปบิณฑบาตที่เรือนแห่งมารดาในบ้านนาลกะ มารดาของท่านนิมนต์ให้นั่งแล้วอังคาสด้วยขาทนียโภชนียหารแก่พระเถระพลางด่าไปพลางว่า 'ท่านไม่ได้อาหารหรือน้ำข้าวที่เป็นเดน ก็สมควรจะกินน้ำข้าวที่ติดอยู่หลังกระบวยในเรือนของคนอื่น ท่านสละทรัพย์ตั้ง 80 โกฏิออกบวช ทำให้เราฉิบหายเสียแล้ว บัดนี้ท่านจงบริโภคเถิด'
นางได้ถวายอาหารแก่ภิกษุทั้งหลายที่มากับพระสารีบุตร และด่าไปพลางว่า 'บุตรของเราออกบวชไปเป็นคนรับใช้ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำบุตรของเราให้เป็นคนรับใช้ของตนแล้ว บัดนี้จงบริโภคเถิด'
พระสารีบุตรเถระและพระราหุลรับอาหารเรียบร้อยแล้วกลับไปยังเวฬุวันวิหาร พระราหุล นำอาหารบิณฑบาตไปถวายพระศาสดา พระองค์ตรัสถามว่า 'วันนี้ไปบิณฑบาตที่ใด?'
'ไปที่บ้านคุณย่า พระเจ้าข้า'
'ย่าได้พูดอย่างไรกับสารีบุตร อุปัชฌายะของเธอบ้าง?'
'ย่าด่าท่านอุปัชฌายะด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมาก พระเจ้าข้า'
'แล้วอุปัชฌายะของเธอพูดอะไรบ้าง?'
'ไม่พูดอะไรเลย พระเจ้าข้า'
พระศาสดาทรงดุษณี
ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องนั้นแล้ว สนทนากันว่า 'ท่านทั้งหลาย พระสารีบุตรเป็นผู้มีคุณน่าอัศจรรย์ แม้เมื่อมารดาด่าอยู่ด้วยถ้อยคำรุนแรงก็ไม่โกรธ ไม่พูดอะไร'
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
'ภิกษุทั้งหลาย! พราหมณ์ในความหมายของเราคือท่าน ผู้ไม่โกรธ มีจิตดี มีศีล ไม่มีตัณหา ฝึกตนดีแล้ว มีสรีระครั้งสุดท้าย (คือไม่ต้องเกิดอีก)'
สำหรับพระอัสสชิเถระนั้น พระสารีบุตรเคารพนับถืออย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ต่อมาภายหลังแม้ได้รับยกย่องเป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับอัครสาวกแล้วก็ตาม พระสารีบุตรก็ยังเคารพนับถือพระอัสสชิในฐานะอาจารย์อยู่นั่นเอง เคารพนับถือจนถึงกับว่า เมื่อทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใดก็ประคองอัญชลีไปทางทิศนั้นแล้วนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่ทราบเรื่องนี้ เห็นแต่เพียงอาการภายนอกก็พูดกันว่า 'พระสารีบุตรยังเป็นมิจฉาทิฐิ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยัง ไหว้ทิศอยู่นั่นเอง'
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้พระสารีบุตรเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามว่า 'สารีบุตร! ภิกษุทั้งหลายพูดกันว่าเธอยังนิยมการนอบน้อม ไหว้ทิศอยู่หรือ ?'
พระสารีบุตรทูลว่า 'พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์ไหว้ทิศหรือไม่'
พระตถาคตเจ้าจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
'ภิกษุทั้งหลาย! สารีบุตรหานอบน้อมทิศไม่ แต่เธอนอบน้อมอาจารย์ของตนคือพระอัสสชิเถระ พระสารีบุตรได้อาศัยอัสสชิ ฟังธรรมจากอัสสชิเป็นครั้งแรกแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุอาศัยอาจารย์ใดแล้วได้รู้ธรรม เธอพึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพอยู่เสมอ เหมือนพราหมณ์ผู้มีปกติบูชาไฟนอบน้อมต่อไฟ ฉะนั้น
ผู้ช่วยพระสารีบุตรให้รู้ธรรม
พระสารีบุตรเป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์สัทธิวิหาริกและมนุษย์ผู้ปรารถนาบุญ จนบางครั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลาย คิดว่าท่านยังมีความโลภ ดังเรื่องต่อไปนี้
คราวหนึ่ง พระสารีบุตรอยู่จำพรรษาในชนบทแห่งหนึ่งพร้อมด้วยภิกษุบริวารประมาณ 500 พวกมนุษย์เลื่อมใสในท่าน ได้เตรียมผ้าจำนำพรรษาไว้เป็นอันมาก เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้วรีบเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาโดยที่ยังไม่ได้รับผ้าจำนำพรรษา ท่านสั่งภิกษุทั้งหลายที่ยังอยู่ในอาวาสนั้นว่า 'ถ้าทายกนำผ้าจำนำพรรษามาถวายก็ขอให้รับไว้แล้วส่งไป หรือส่งข่าวไปจะให้ภิกษุมารับ'
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า จนถึงเวลานี้ พระสารีบุตรคงยังมีตัณหาและความโลภอยู่เป็นแน่แท้ จึงได้สั่งภิกษุทั้งหลายไว้ว่า 'เมื่อพวกมนุษย์ถวายผ้าจำนำพรรษา ให้ส่งผ้าจำนำพรรษาไปแก่สัทธิวิหาริกของตน หรือเก็บไว้แล้วส่งข่าวไป'
พระศาสดาทรงทราบเรื่องที่ภิกษุทั้งหลายสนทนากันแล้วตรัสว่า 'ภิกษุทั้งหลาย! สารีบุตรไม่มีตัณหา ไม่มีความโลภแล้ว เธอสั่งความไว้อย่างนั้นก็ด้วยคิดว่า พวกมนุษย์ผู้หวังบุญจะไม่เสื่อมจากบุญ และสัทธิวิหาริกของตนจะไม่เสื่อมจากลาภอันชอบธรรมซึ่งพวกตนควรจะได้ ความโลภในลาภหามีแก่สารีบุตรไม่'
'ภิกษุทั้งหลาย! ตัณหาของผู้ใดไม่มีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ไม่มีความหวัง พรากกิเลสได้แล้ว เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์'
ภราดา! การกระทำของผู้ไม่มีกิเลสนั้น บางทีก็มีอาการคล้ายมีกิเลส ผู้มีภูมิจิตระดับเดียวกันหรือเหนือกว่าเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ทำนองเดียวกัน การกระทำของคนมีกิเลสบางคราวก็มีอาการเสมือนไม่มีกิเลส แต่ความจริงมี เรื่องนี้รู้ได้ยาก
อีกคราวหนึ่งไปบิณฑบาตที่เรือนแห่งมารดาในบ้านนาลกะ มารดาของท่านนิมนต์ให้นั่งแล้วอังคาสด้วยขาทนียโภชนียหารแก่พระเถระพลางด่าไปพลางว่า 'ท่านไม่ได้อาหารหรือน้ำข้าวที่เป็นเดน ก็สมควรจะกินน้ำข้าวที่ติดอยู่หลังกระบวยในเรือนของคนอื่น ท่านสละทรัพย์ตั้ง 80 โกฏิออกบวช ทำให้เราฉิบหายเสียแล้ว บัดนี้ท่านจงบริโภคเถิด'
นางได้ถวายอาหารแก่ภิกษุทั้งหลายที่มากับพระสารีบุตร และด่าไปพลางว่า 'บุตรของเราออกบวชไปเป็นคนรับใช้ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำบุตรของเราให้เป็นคนรับใช้ของตนแล้ว บัดนี้จงบริโภคเถิด'
พระสารีบุตรเถระและพระราหุลรับอาหารเรียบร้อยแล้วกลับไปยังเวฬุวันวิหาร พระราหุล นำอาหารบิณฑบาตไปถวายพระศาสดา พระองค์ตรัสถามว่า 'วันนี้ไปบิณฑบาตที่ใด?'
'ไปที่บ้านคุณย่า พระเจ้าข้า'
'ย่าได้พูดอย่างไรกับสารีบุตร อุปัชฌายะของเธอบ้าง?'
'ย่าด่าท่านอุปัชฌายะด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมาก พระเจ้าข้า'
'แล้วอุปัชฌายะของเธอพูดอะไรบ้าง?'
'ไม่พูดอะไรเลย พระเจ้าข้า'
พระศาสดาทรงดุษณี
ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องนั้นแล้ว สนทนากันว่า 'ท่านทั้งหลาย พระสารีบุตรเป็นผู้มีคุณน่าอัศจรรย์ แม้เมื่อมารดาด่าอยู่ด้วยถ้อยคำรุนแรงก็ไม่โกรธ ไม่พูดอะไร'
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
'ภิกษุทั้งหลาย! พราหมณ์ในความหมายของเราคือท่าน ผู้ไม่โกรธ มีจิตดี มีศีล ไม่มีตัณหา ฝึกตนดีแล้ว มีสรีระครั้งสุดท้าย (คือไม่ต้องเกิดอีก)'
สำหรับพระอัสสชิเถระนั้น พระสารีบุตรเคารพนับถืออย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ต่อมาภายหลังแม้ได้รับยกย่องเป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับอัครสาวกแล้วก็ตาม พระสารีบุตรก็ยังเคารพนับถือพระอัสสชิในฐานะอาจารย์อยู่นั่นเอง เคารพนับถือจนถึงกับว่า เมื่อทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใดก็ประคองอัญชลีไปทางทิศนั้นแล้วนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่ทราบเรื่องนี้ เห็นแต่เพียงอาการภายนอกก็พูดกันว่า 'พระสารีบุตรยังเป็นมิจฉาทิฐิ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยัง ไหว้ทิศอยู่นั่นเอง'
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้พระสารีบุตรเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามว่า 'สารีบุตร! ภิกษุทั้งหลายพูดกันว่าเธอยังนิยมการนอบน้อม ไหว้ทิศอยู่หรือ ?'
พระสารีบุตรทูลว่า 'พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์ไหว้ทิศหรือไม่'
พระตถาคตเจ้าจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
'ภิกษุทั้งหลาย! สารีบุตรหานอบน้อมทิศไม่ แต่เธอนอบน้อมอาจารย์ของตนคือพระอัสสชิเถระ พระสารีบุตรได้อาศัยอัสสชิ ฟังธรรมจากอัสสชิเป็นครั้งแรกแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุอาศัยอาจารย์ใดแล้วได้รู้ธรรม เธอพึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพอยู่เสมอ เหมือนพราหมณ์ผู้มีปกติบูชาไฟนอบน้อมต่อไฟ ฉะนั้น