วาจานุสรณ์ (ต่อ)
พระวังคีสะ ตอนบวชใหม่ๆ เห็นผู้หญิงหลายคนแต่งตัวสวยงามมาที่วัดแล้วเกิดกำหนัด หลังจากข่มความกำหนัดได้แล้ว ท่านได้สอนตนเองว่า
ความคิดเลวทรามเช่นนี้พรั่งพรูครอบงำเรา
เหมือนลูกธนูที่คนแม่นธนูยิงใส่ศัตรูพรั่งพรูนับพันลูก จนหลบหลีกไม่ทัน
หญิงเอ๋ย แม้หล่อนจะมามากกว่านี้
ก็ทำอันตรายอันใดแก่เราไม่ได้หรอก
เพราะเรามั่นคงอยู่ในธรรมแล้ว
ท่านต้องต่อสู้กับกามราคะอย่างหนัก คราวหนึ่งได้สารภาพกับพระอานนท์ว่า
กามราคะแผดเผากระผมให้เร่าร้อน
กามราคะแผดเผาจิตของกระผมให้เร่าร้อน
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพุทธสาวก
ขอได้โปรดบอกธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด
ต่อมา หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านได้กล่าวรำพึงกับตนเองว่า
เมื่อก่อน เราตระเวนไปบ้านโน้นเมืองนี้ มีคนเคารพมาก
แต่เดี๋ยวนี้มาได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้สำเร็จสรรพธรรมแล้ว(จึงได้หยุดตระเวน)
พระองค์ทรงแสดงแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา
เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วจึงรู้แจ้งเรื่องขันธ์ อายตนะและธาตุ
อย่างตรงตามเป็นจริง เป็นเหตุให้ต้องออกบวช
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาก็เพื่อช่วยเหลือ
ผู้ที่พร้อมทำตามคำสอนของพระองค์ไม่ว่าหญิงหรือชาย
การที่เราได้มาเฝ้าพระองค์จนถึงสำนัก
นับว่าเป็นการมาดี เพราะทำให้ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ
พระลกุณฑกภัททิยะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านยังพักอยู่ในวัดอัมพาฏการาม ซึ่งอยู่กลางป่า ว่ากันว่าวัดอัมพาฏการามนั้นน่ารื่นรมย์สวยงามด้วยแนวป่า มีเงาไม้ร่มรื่นสมบูรณ์ด้วยน้ำฉันน้ำใช้ ขณะพักอยู่ ณ ที่นั้น ท่านได้ยินเสียงดนตรี บรรเลงแว่วมาแต่ไกล จึงกล่าวว่า
เราผู้ชื่อว่า “ภัททิยะ” อยู่ในอัมพาฏการาม ที่สวยงามร่มรื่นกลางป่า
เราเพ่งพิจารณาอย่างระมัดระวังอยู่กลางป่านั้น
จนสามารถถอนตัณหาพร้อมทั้งรากเหง้าได้หมดสิ้น
ยามนี้ คนบางพวกเขาสนุกสนานอยู่กับเสียงตะโพน เสียงพิณและเสียงบัณเฑาะว์
แต่เรากลับสนุกสนานอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นไม้
หากพระพุทธเจ้าจะพึงประทานพรแก่เรา
เราขอเลือกรับพร คือ กายคตาสติ
เพราะกายคตาสติเหมาะนักสำหรับชาวโลก
ท่านเป็นคนร่างเตี้ยเล็ก แต่มีเสียงไพเราะ จึงมีคนเป็นจำนวนมากหลงใหลในเสียงของท่าน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขบขันเมื่อเห็นตัวท่าน เพื่อเป็นการเตือนสติ คนเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า
คนที่หมิ่นเราเรื่องรูปร่าง กับคนที่หลงใหลในเสียงของเรา
มีสภาพไม่ต่างกัน คือตกอยู่ในอำนาจฉันทราคะ
พวกเขาไม่รู้จักเราจริง
พระกุมารกัสสปะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านประสงค์จะสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จึงกล่าวว่า
น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้า
น่าอัศจรรย์จริง พระธรรม
น่าอัศจรรย์จริง พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแหล่งที่พระสาวกได้อาศัยประพฤติพรหมจรรย์
จนทำให้รู้แจ้งซึ่งธรรม
พระนันทกะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งภริยาเก่าเห็นท่านเที่ยวบิณฑบาต นางมองดูท่านด้วยความเสน่หาแล้วหัวเราะ ท่านได้กล่าวแก่นางว่า
น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายที่เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีกลิ่นเหม็น ชุ่มด้วยกิเลส ส่งเสริมมารให้กำเริบ
น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายนี้มีช่อง ๙ ช่อง
มีของไม่สะอาดไหลออกเนืองนิตย์
น้องหญิง เธออย่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ
อย่าเล้าโลมอริยสาวกของพระพุทธเจ้า
ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลสเลย
เพราะอริยสาวกเหล่านั้นไม่ยินดีกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยการกล่าวไปใยถึงกามคุณของมนุษย์เล่า
พระสุภูติ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนหญ้าแห้งในกระท่อม ขณะนั้นมีฝนตกลงมาโปรยปราย ไม่เพียงพอจะใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ ท่านต้องการจะช่วยบรรเทาภัยที่เกิดจากความแห้งแล้งให้ชาวบ้าน ท่านจึงกล่าวเป็นเชิงปรารภว่า
กระท่อมของเรามุงมิดชิดแล้ว
หน้าต่างก็ปิดสนิทแล้ว
ตกมาตามสบายเถิดฝนเอ๋ย
จิตของเรามั่นคง หลุดพ้นหมดแล้ว
เราบำเพ็ญเพียรอยู่
ฝนเอ๋ย ตกมาเถิด
พระกังขาเรวตะ ดังได้กล่าวแล้วว่าเป็นคนชอบสงสัย และพระพุทธเจ้าทรงช่วย เปลื้องความสงสัยของท่านได้ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่ง หลังจากฉันอาหารแล้วท่านมาหวนพิจารณาถึงพระปัญญาของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความประสงค์จะสรรเสริญพระปัญญาคุณนั้น จึงกล่าวว่า
เชิญดูพระปัญญาของพระพุทธเจ้าเถิด
เป็นดุจดังไฟสว่างไสวในเวลาเที่ยงคืน
พระพุทธเจ้าทรงสามารถกำจัดความสงสัย
ของเวไนยสัตว์ทั้งหลายผู้มาถึงสำนักพระองค์ได้
จึงชื่อว่าเป็นผู้ให้ดวงตาและแสงสว่าง
พระสาคตะ ไม่พบหลักฐานว่าท่านได้กล่าววาจาอันใดไว้เป็นอนุสรณ์
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 89 เม.ย. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระวังคีสะ ตอนบวชใหม่ๆ เห็นผู้หญิงหลายคนแต่งตัวสวยงามมาที่วัดแล้วเกิดกำหนัด หลังจากข่มความกำหนัดได้แล้ว ท่านได้สอนตนเองว่า
ความคิดเลวทรามเช่นนี้พรั่งพรูครอบงำเรา
เหมือนลูกธนูที่คนแม่นธนูยิงใส่ศัตรูพรั่งพรูนับพันลูก จนหลบหลีกไม่ทัน
หญิงเอ๋ย แม้หล่อนจะมามากกว่านี้
ก็ทำอันตรายอันใดแก่เราไม่ได้หรอก
เพราะเรามั่นคงอยู่ในธรรมแล้ว
ท่านต้องต่อสู้กับกามราคะอย่างหนัก คราวหนึ่งได้สารภาพกับพระอานนท์ว่า
กามราคะแผดเผากระผมให้เร่าร้อน
กามราคะแผดเผาจิตของกระผมให้เร่าร้อน
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพุทธสาวก
ขอได้โปรดบอกธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด
ต่อมา หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านได้กล่าวรำพึงกับตนเองว่า
เมื่อก่อน เราตระเวนไปบ้านโน้นเมืองนี้ มีคนเคารพมาก
แต่เดี๋ยวนี้มาได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้สำเร็จสรรพธรรมแล้ว(จึงได้หยุดตระเวน)
พระองค์ทรงแสดงแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา
เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วจึงรู้แจ้งเรื่องขันธ์ อายตนะและธาตุ
อย่างตรงตามเป็นจริง เป็นเหตุให้ต้องออกบวช
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาก็เพื่อช่วยเหลือ
ผู้ที่พร้อมทำตามคำสอนของพระองค์ไม่ว่าหญิงหรือชาย
การที่เราได้มาเฝ้าพระองค์จนถึงสำนัก
นับว่าเป็นการมาดี เพราะทำให้ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ
พระลกุณฑกภัททิยะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านยังพักอยู่ในวัดอัมพาฏการาม ซึ่งอยู่กลางป่า ว่ากันว่าวัดอัมพาฏการามนั้นน่ารื่นรมย์สวยงามด้วยแนวป่า มีเงาไม้ร่มรื่นสมบูรณ์ด้วยน้ำฉันน้ำใช้ ขณะพักอยู่ ณ ที่นั้น ท่านได้ยินเสียงดนตรี บรรเลงแว่วมาแต่ไกล จึงกล่าวว่า
เราผู้ชื่อว่า “ภัททิยะ” อยู่ในอัมพาฏการาม ที่สวยงามร่มรื่นกลางป่า
เราเพ่งพิจารณาอย่างระมัดระวังอยู่กลางป่านั้น
จนสามารถถอนตัณหาพร้อมทั้งรากเหง้าได้หมดสิ้น
ยามนี้ คนบางพวกเขาสนุกสนานอยู่กับเสียงตะโพน เสียงพิณและเสียงบัณเฑาะว์
แต่เรากลับสนุกสนานอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นไม้
หากพระพุทธเจ้าจะพึงประทานพรแก่เรา
เราขอเลือกรับพร คือ กายคตาสติ
เพราะกายคตาสติเหมาะนักสำหรับชาวโลก
ท่านเป็นคนร่างเตี้ยเล็ก แต่มีเสียงไพเราะ จึงมีคนเป็นจำนวนมากหลงใหลในเสียงของท่าน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขบขันเมื่อเห็นตัวท่าน เพื่อเป็นการเตือนสติ คนเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า
คนที่หมิ่นเราเรื่องรูปร่าง กับคนที่หลงใหลในเสียงของเรา
มีสภาพไม่ต่างกัน คือตกอยู่ในอำนาจฉันทราคะ
พวกเขาไม่รู้จักเราจริง
พระกุมารกัสสปะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านประสงค์จะสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จึงกล่าวว่า
น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้า
น่าอัศจรรย์จริง พระธรรม
น่าอัศจรรย์จริง พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแหล่งที่พระสาวกได้อาศัยประพฤติพรหมจรรย์
จนทำให้รู้แจ้งซึ่งธรรม
พระนันทกะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งภริยาเก่าเห็นท่านเที่ยวบิณฑบาต นางมองดูท่านด้วยความเสน่หาแล้วหัวเราะ ท่านได้กล่าวแก่นางว่า
น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายที่เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีกลิ่นเหม็น ชุ่มด้วยกิเลส ส่งเสริมมารให้กำเริบ
น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายนี้มีช่อง ๙ ช่อง
มีของไม่สะอาดไหลออกเนืองนิตย์
น้องหญิง เธออย่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ
อย่าเล้าโลมอริยสาวกของพระพุทธเจ้า
ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลสเลย
เพราะอริยสาวกเหล่านั้นไม่ยินดีกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยการกล่าวไปใยถึงกามคุณของมนุษย์เล่า
พระสุภูติ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนหญ้าแห้งในกระท่อม ขณะนั้นมีฝนตกลงมาโปรยปราย ไม่เพียงพอจะใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ ท่านต้องการจะช่วยบรรเทาภัยที่เกิดจากความแห้งแล้งให้ชาวบ้าน ท่านจึงกล่าวเป็นเชิงปรารภว่า
กระท่อมของเรามุงมิดชิดแล้ว
หน้าต่างก็ปิดสนิทแล้ว
ตกมาตามสบายเถิดฝนเอ๋ย
จิตของเรามั่นคง หลุดพ้นหมดแล้ว
เราบำเพ็ญเพียรอยู่
ฝนเอ๋ย ตกมาเถิด
พระกังขาเรวตะ ดังได้กล่าวแล้วว่าเป็นคนชอบสงสัย และพระพุทธเจ้าทรงช่วย เปลื้องความสงสัยของท่านได้ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่ง หลังจากฉันอาหารแล้วท่านมาหวนพิจารณาถึงพระปัญญาของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความประสงค์จะสรรเสริญพระปัญญาคุณนั้น จึงกล่าวว่า
เชิญดูพระปัญญาของพระพุทธเจ้าเถิด
เป็นดุจดังไฟสว่างไสวในเวลาเที่ยงคืน
พระพุทธเจ้าทรงสามารถกำจัดความสงสัย
ของเวไนยสัตว์ทั้งหลายผู้มาถึงสำนักพระองค์ได้
จึงชื่อว่าเป็นผู้ให้ดวงตาและแสงสว่าง
พระสาคตะ ไม่พบหลักฐานว่าท่านได้กล่าววาจาอันใดไว้เป็นอนุสรณ์
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 89 เม.ย. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)