เอตทัคคะ-อดีตชาติ(ต่อ)
ได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศล ที่ได้รับตำแหน่ง เอตทัคคะมาแล้ว ต่อไปนี้จักได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศลที่ไม่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ซึ่งมีอยู่ ๔ รูป คือ พระยโสชะ พระอุปวาณะ พระองคุลิมาล และ พระเสละ
พระอสีติมหาสาวก ๔ รูปนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งจิตปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะไว้เหมือนพระอสีติมหาสาวก ๑๒ รูปนั้น แต่ก็ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อเป็นพระมหาสาวก และได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ซึ่งแต่ละรูปต่างก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีตทำนองเดียวกัน คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมและจักได้บรรลุอรหัตผลดังมีรายละเอียดดังนี้
พระยโสชะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ในพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นชาวสวนเมืองพันธุมดี วันหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าทรงเหาะอยู่กลางอากาศแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพ และตั้งจิตปรารถนาเพื่อบรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ต่อมาพบพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาต จึงถวายขนุนสำมะลอให้พระพุทธเจ้าเสวย พระพุทธเจ้าทรงทราบความปรารถนาของท่าน ครั้นเสวยแล้วจึงตรัสพยากรณ์ว่า ท่านจักได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม เป็นเหตุให้ท่านเกิดปีติโสมนัสอย่างยิ่ง จึงได้ทำบุญ อื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเป็นหัวหน้าโจร มีบริวาร ๕๐๐ คน วันหนึ่ง ออกปล้นแล้วถูกชาวบ้านไล่ตาม จึงพากันหนีเข้าป่ามาพบพระป่ารูปหนึ่งกำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เลยขอให้ท่านช่วยเหลือ ท่านจึงช่วยเหลือด้วยการให้พวกโจรถือศีล ๕ แล้วสอนว่า
“อุบาสกทั้งหลาย บัดนี้พวกท่านถือศีล ๕ แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า พวกท่านจักไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมาอีกต่อไป ฉะนั้น ขอให้พวกท่านถือศีลไว้ให้มั่นคง อย่ายอมเสียศีลแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ตาม”
พวกโจรต่างรับคำหนักแน่น ครั้นเมื่อพวกชาวบ้านตามมาทัน พวกเขาก็มิได้คิดต่อสู้หรือป้องกันตัว จึงถูกพวกชาวบ้านฆ่าตายหมด แต่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ เพราะผลบุญที่ได้รักษาศีลด้วยจิตเลื่อมใส ก่อนตายนั้นเอง โดยหัวหน้าโจรได้เกิดเป็น หัวหน้าเทพบุตร ส่วนบริวารทั้ง ๕๐๐ ก็ได้เกิดเป็นเทพบุตรบริวาร
หัวหน้าโจรกับโจรบริวารเวียนว่ายตาย เกิดในสุคติภพต่างๆ อยู่พุทธันดร ๑ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน หัวหน้าเทพบุตรจึงได้มาเกิดเป็นบุตรหัวหน้าชาวประมง โดยมีเทพบุตรบริวารทั้ง ๕๐๐ มาเกิดเป็นบริวาร ท่านและบริวารครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระอุปวาณะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นคนเข็ญใจ คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านได้ไปร่วมงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุด้วย ขณะที่รำลึก ถึงพระพุทธคุณอยู่นั้น ท่านเกิดศรัทธาอย่าง แรงกล้าถึงขั้นยอมสละผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ผืนเดียวนั้นทำเป็นธงปักถวายเป็นพุทธบูชาบน ยอดพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นแล้วได้เข้าไปหาพระอรหันตสาวกรูปหนึ่งซึ่งได้อภิญญา พระอรหันตสาวกรูปนั้นได้พยากรณ์ถึงผลบุญของท่านว่าจะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวช เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม
ท่านได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดีอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาติ นั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดารักษาพระเจดีย์บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิ ต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดาอีกเช่น เคย ทำหน้าที่รักษาพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระ-พุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระเสละ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็น บุตรเศรษฐีชาวเมืองหงสวดี เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ทำบุญสำคัญไว้ คือ ชักชวนบุรุษ ๓๐๐ นายช่วยกันสร้างพระคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า ครั้นสร้างพระคันธกุฎีเสร็จแล้วก็ได้ถวายพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก และวันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวกได้ครอง พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ถึงผลบุญของท่าน อย่างที่พระอุปวาณะได้ รับพยากรณ์จากพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้ากัสสปะ คือ จะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม ท่านเป็นเช่นเดียวกับพระอุปวาณะได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดี อื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของ พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์วาเสฎฐะชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระองคุลิมาล นอกจากตั้งจิตปราถนา ไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้ว คราวที่โลกว่างพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนาแล้วเกิดความสงสารและเลื่อมใส จึงก่อไฟ ผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมีกำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัส บุญครั้งนั้นส่ง ผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ
ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดพบ ศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะก็มีเรื่องให้เห็นชัดเจนกล่าวคือ ในชาตินั้นท่านเกิด เป็นพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสี ทรงเสวยเนื้อคนเป็นอาหาร จนมีชื่อเรียกว่า ‘โปริสาท’ แปลว่า ‘คนกินคน’ หลังจากทรงถูกเทรเทศให้ออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว ก็เสด็จออกล่าคนเสวยทุกวัน ครั้งสุดท้ายทรง ล่าพระราชาทั่วชมพูทวีปได้ ๑๐๐ พระองค์ มาทำพลีกรรมถวายรุกขเทวดา เป็นการแก้บนที่ได้บนบานไว้ขอให้ช่วยรักษาบาด แผลที่พระบาทซึ่งเกิดจากถูกตอไม้ตำให้จนหายสนิท แต่ยังมิทันจะได้ทำพลีกรรม พระเจ้ามหาสุตโสมพระสหายเก่าที่เคยศึกษาศิลปวิทยาร่วมสำนักกันมา ก็เสด็จมา ตรัสเตือนให้ได้สติ จนพระเจ้าโปริสาทยอมเลิกทำพลีกรรม แล้วปล่อยพระราชาทั้ง ๑๐๐ พระองค์นั้นให้เป็นอิสระ ท่านเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ภัคควะ ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับนางมันตานี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผล สมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 86 ม.ค. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
ได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศล ที่ได้รับตำแหน่ง เอตทัคคะมาแล้ว ต่อไปนี้จักได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศลที่ไม่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ซึ่งมีอยู่ ๔ รูป คือ พระยโสชะ พระอุปวาณะ พระองคุลิมาล และ พระเสละ
พระอสีติมหาสาวก ๔ รูปนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งจิตปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะไว้เหมือนพระอสีติมหาสาวก ๑๒ รูปนั้น แต่ก็ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อเป็นพระมหาสาวก และได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ซึ่งแต่ละรูปต่างก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีตทำนองเดียวกัน คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมและจักได้บรรลุอรหัตผลดังมีรายละเอียดดังนี้
พระยโสชะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ในพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นชาวสวนเมืองพันธุมดี วันหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าทรงเหาะอยู่กลางอากาศแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพ และตั้งจิตปรารถนาเพื่อบรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ต่อมาพบพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาต จึงถวายขนุนสำมะลอให้พระพุทธเจ้าเสวย พระพุทธเจ้าทรงทราบความปรารถนาของท่าน ครั้นเสวยแล้วจึงตรัสพยากรณ์ว่า ท่านจักได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม เป็นเหตุให้ท่านเกิดปีติโสมนัสอย่างยิ่ง จึงได้ทำบุญ อื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเป็นหัวหน้าโจร มีบริวาร ๕๐๐ คน วันหนึ่ง ออกปล้นแล้วถูกชาวบ้านไล่ตาม จึงพากันหนีเข้าป่ามาพบพระป่ารูปหนึ่งกำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เลยขอให้ท่านช่วยเหลือ ท่านจึงช่วยเหลือด้วยการให้พวกโจรถือศีล ๕ แล้วสอนว่า
“อุบาสกทั้งหลาย บัดนี้พวกท่านถือศีล ๕ แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า พวกท่านจักไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมาอีกต่อไป ฉะนั้น ขอให้พวกท่านถือศีลไว้ให้มั่นคง อย่ายอมเสียศีลแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ตาม”
พวกโจรต่างรับคำหนักแน่น ครั้นเมื่อพวกชาวบ้านตามมาทัน พวกเขาก็มิได้คิดต่อสู้หรือป้องกันตัว จึงถูกพวกชาวบ้านฆ่าตายหมด แต่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ เพราะผลบุญที่ได้รักษาศีลด้วยจิตเลื่อมใส ก่อนตายนั้นเอง โดยหัวหน้าโจรได้เกิดเป็น หัวหน้าเทพบุตร ส่วนบริวารทั้ง ๕๐๐ ก็ได้เกิดเป็นเทพบุตรบริวาร
หัวหน้าโจรกับโจรบริวารเวียนว่ายตาย เกิดในสุคติภพต่างๆ อยู่พุทธันดร ๑ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน หัวหน้าเทพบุตรจึงได้มาเกิดเป็นบุตรหัวหน้าชาวประมง โดยมีเทพบุตรบริวารทั้ง ๕๐๐ มาเกิดเป็นบริวาร ท่านและบริวารครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระอุปวาณะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นคนเข็ญใจ คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านได้ไปร่วมงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุด้วย ขณะที่รำลึก ถึงพระพุทธคุณอยู่นั้น ท่านเกิดศรัทธาอย่าง แรงกล้าถึงขั้นยอมสละผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ผืนเดียวนั้นทำเป็นธงปักถวายเป็นพุทธบูชาบน ยอดพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นแล้วได้เข้าไปหาพระอรหันตสาวกรูปหนึ่งซึ่งได้อภิญญา พระอรหันตสาวกรูปนั้นได้พยากรณ์ถึงผลบุญของท่านว่าจะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวช เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม
ท่านได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดีอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาติ นั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดารักษาพระเจดีย์บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิ ต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดาอีกเช่น เคย ทำหน้าที่รักษาพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระ-พุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระเสละ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็น บุตรเศรษฐีชาวเมืองหงสวดี เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ทำบุญสำคัญไว้ คือ ชักชวนบุรุษ ๓๐๐ นายช่วยกันสร้างพระคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า ครั้นสร้างพระคันธกุฎีเสร็จแล้วก็ได้ถวายพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก และวันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวกได้ครอง พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ถึงผลบุญของท่าน อย่างที่พระอุปวาณะได้ รับพยากรณ์จากพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้ากัสสปะ คือ จะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม ท่านเป็นเช่นเดียวกับพระอุปวาณะได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดี อื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของ พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์วาเสฎฐะชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
พระองคุลิมาล นอกจากตั้งจิตปราถนา ไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้ว คราวที่โลกว่างพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนาแล้วเกิดความสงสารและเลื่อมใส จึงก่อไฟ ผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมีกำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัส บุญครั้งนั้นส่ง ผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ
ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดพบ ศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะก็มีเรื่องให้เห็นชัดเจนกล่าวคือ ในชาตินั้นท่านเกิด เป็นพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสี ทรงเสวยเนื้อคนเป็นอาหาร จนมีชื่อเรียกว่า ‘โปริสาท’ แปลว่า ‘คนกินคน’ หลังจากทรงถูกเทรเทศให้ออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว ก็เสด็จออกล่าคนเสวยทุกวัน ครั้งสุดท้ายทรง ล่าพระราชาทั่วชมพูทวีปได้ ๑๐๐ พระองค์ มาทำพลีกรรมถวายรุกขเทวดา เป็นการแก้บนที่ได้บนบานไว้ขอให้ช่วยรักษาบาด แผลที่พระบาทซึ่งเกิดจากถูกตอไม้ตำให้จนหายสนิท แต่ยังมิทันจะได้ทำพลีกรรม พระเจ้ามหาสุตโสมพระสหายเก่าที่เคยศึกษาศิลปวิทยาร่วมสำนักกันมา ก็เสด็จมา ตรัสเตือนให้ได้สติ จนพระเจ้าโปริสาทยอมเลิกทำพลีกรรม แล้วปล่อยพระราชาทั้ง ๑๐๐ พระองค์นั้นให้เป็นอิสระ ท่านเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ภัคควะ ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับนางมันตานี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผล สมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 86 ม.ค. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)