วาจานุสรณ์ (ต่อ)
พระองคุลิมาล หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ขณะเสวยวิมุติสุขอยู่นั้นเกิดปีติโสมนัส ท่านจึงได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า
ผู้ใด เคยประมาทมาก่อนแล้วเลิกประมาทเสียได้ภายหลัง
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ผู้ใด ทำบาปกรรมไว้แล้ว ละได้ด้วยกุศล(มรรคจิต)
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ภิกษุใด แม้จะยังหนุ่ม แต่หมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ต่อมาท่านออกบิณฑบาต แต่กลับถูกขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนบาตร แตก ตัวท่านเองก็บาดเจ็บ จึงจำต้องกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระพุทธเจ้าทรงสอนท่านให้อดทนและทรงสอนว่าท่านกำลังได้รับผลกรรมที่ทำไว้ ท่านจึงแผ่เมตตาจิตไปในสรรพสัตว์แล้วกล่าวว่า
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมกถาของพระศาสดา
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงหมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงคบกัลยาณมิตรและยึดถือแต่ธรรม
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมของท่านผู้สอนให้มีความอดทนไม่โกรธ
ตามกาลอันสมควรเถิด
และขอให้ปฏิบัติตามธรรมนั้นด้วย
ขอย่าได้เบียดเบียนเราหรือใครๆ เลย
ขอให้ได้บรรลุถึงสันติภาพที่ยวดยิ่งคือนิพพาน
ขอให้ช่วยคุ้มครองสัตว์ทั้งหลายให้ปลอดภัย
คล้ายบิดามารดาคุ้มครองบุตร
ต่อมาท่านได้พูดถึงวิธีปฏิบัติธรรมของท่าน รวมทั้งสรรเสริญพระคุณของพระ-พุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณฝึกท่านให้ละความเห็นผิดได้ ความว่า
คนบางพวกฝึกสัตว์ด้วยท่อนไม้ ตาขอ และแส้
แต่พระพุทธเจ้าทรงฝึกเรา โดยมิได้ใช้ท่อนไม้และศัตราเลย
เมื่อก่อนเรามีชื่อว่า “อหิงสกะ” หมายถึงไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อก่อนเราเป็นโจร ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
เราถูกห้วงน้ำใหญ่คือกิเลสพัดไป จนได้มาพบพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
มาบัดนี้ เชิญท่านดูเถิด การถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งมีผลมาก
เพราะทำให้เราถอนตัณหาตัวนำให้ไปเกิดได้หมดสิ้นแล้ว
เราทำกรรมที่นำไปให้เกิดในทุคติไว้มาก
มาบัดนี้ ได้รับผลกรรมนั้นแล้ว
เรากำลังบริโภคอาหารอย่างคนไม่มีหนี้
ต่อมาท่านต้องการจะให้กำลังใจพระทั้งหมดที่ยังเป็นปุถุชน ให้เกิดอุตสาหะในการปฏิบัติธรรม จึงกล่าวถึงการทำตัวไม่ประมาทพร้อมทั้งกล่าวถึงความรู้สึกของท่านหลังได้บรรลุอรหัตผลว่า
คนโง่มัวแต่ประมาท แต่คนฉลาดจะรักษาความไม่ประมาทไว้
ให้เป็นเหมือนทรัพย์อันมีค่า
ท่านทั้งหลายอย่าประมาทเลย อย่าสนิทสนมกับความยินดีในกามเลย
เพราะคนไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมจะบรรลุถึงบรมสุขได้
เรามาดีแล้วที่ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
เราคิดดีแล้วที่ได้คิดบวชเป็นสาวกของพระองค์
เพราะทำให้ได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ
นับว่าได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว
เมื่อก่อน เราอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นป่า โคนไม้
ภูเขา หรือในถ้ำ ก็อยู่อย่างหวาดเสียว
มาบัดนี้เราอยู่อย่างเป็นสุข ทั้งยามยืน เดิน นั่ง นอน
เพราะพระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือเราให้พ้นแล้วจากมือมาร
เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์อุภโตสุชาต (มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดามารดา)
มาบัดนี้ ได้มาเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชา
พระเสละ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว พาพระบริวาร ๓๐๐ รูป เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก
นับแต่วันที่ข้าพระองค์ได้ถึงพระองค์เป็นที่พึ่งมา วันนี้เป็นวันที่ ๘ แล้ว
๗ วันที่ผ่านมานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกฝึกฝนอย่างหนัก
จนประสบผลสำเร็จในศาสนาของพระองค์
ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
คือตื่นจากหลับด้วยอำนาจกิเลสเองแล้ว ยังปลุกผู้อื่นให้ตื่นตามด้วย
พระองค์เป็นพระศาสดา คือ สอนทั้งเทวดาและมนุษย์
พระองค์เป็นพระมุนีผู้มีอำนาจเหนือมาร
ทรงตัดกิเลสที่นอนเนื่องในพระทัยมานานแสนนานได้แล้ว
ทรงข้ามพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยพระองค์เอง
แล้วยังช่วยส่งหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นตามด้วย
พระองค์เป็นเหมือนพญาราชสีห์ เพราะไม่ทรงกลัวภัยอันใด
ทรงทำลายอาสวะ ละความยึดมั่นได้หมด
หลังจากกราบทูลถึงการบรรลุอรหัตผลของท่านและบริวารแล้ว ท่านได้ทูลขอโอกาสถวายบังคมพระบาทของพระพุทธเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้ยอดกล้า ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้
ยืนประคองอัญชลีอยู่พร้อมหน้า
ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทออกมาเถิด
ภิกษุทั้งหมดนี้จะถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาของพวกเขา
ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเหยียดพระบาทออกมาแล้ว ท่านพร้อมด้วยพระ ๓๐๐ รูป ก็พร้อมกันถวายบังคม
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 88 มี.ค. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระองคุลิมาล หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ขณะเสวยวิมุติสุขอยู่นั้นเกิดปีติโสมนัส ท่านจึงได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า
ผู้ใด เคยประมาทมาก่อนแล้วเลิกประมาทเสียได้ภายหลัง
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ผู้ใด ทำบาปกรรมไว้แล้ว ละได้ด้วยกุศล(มรรคจิต)
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ภิกษุใด แม้จะยังหนุ่ม แต่หมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ต่อมาท่านออกบิณฑบาต แต่กลับถูกขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนบาตร แตก ตัวท่านเองก็บาดเจ็บ จึงจำต้องกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระพุทธเจ้าทรงสอนท่านให้อดทนและทรงสอนว่าท่านกำลังได้รับผลกรรมที่ทำไว้ ท่านจึงแผ่เมตตาจิตไปในสรรพสัตว์แล้วกล่าวว่า
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมกถาของพระศาสดา
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงหมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงคบกัลยาณมิตรและยึดถือแต่ธรรม
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมของท่านผู้สอนให้มีความอดทนไม่โกรธ
ตามกาลอันสมควรเถิด
และขอให้ปฏิบัติตามธรรมนั้นด้วย
ขอย่าได้เบียดเบียนเราหรือใครๆ เลย
ขอให้ได้บรรลุถึงสันติภาพที่ยวดยิ่งคือนิพพาน
ขอให้ช่วยคุ้มครองสัตว์ทั้งหลายให้ปลอดภัย
คล้ายบิดามารดาคุ้มครองบุตร
ต่อมาท่านได้พูดถึงวิธีปฏิบัติธรรมของท่าน รวมทั้งสรรเสริญพระคุณของพระ-พุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณฝึกท่านให้ละความเห็นผิดได้ ความว่า
คนบางพวกฝึกสัตว์ด้วยท่อนไม้ ตาขอ และแส้
แต่พระพุทธเจ้าทรงฝึกเรา โดยมิได้ใช้ท่อนไม้และศัตราเลย
เมื่อก่อนเรามีชื่อว่า “อหิงสกะ” หมายถึงไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อก่อนเราเป็นโจร ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
เราถูกห้วงน้ำใหญ่คือกิเลสพัดไป จนได้มาพบพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
มาบัดนี้ เชิญท่านดูเถิด การถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งมีผลมาก
เพราะทำให้เราถอนตัณหาตัวนำให้ไปเกิดได้หมดสิ้นแล้ว
เราทำกรรมที่นำไปให้เกิดในทุคติไว้มาก
มาบัดนี้ ได้รับผลกรรมนั้นแล้ว
เรากำลังบริโภคอาหารอย่างคนไม่มีหนี้
ต่อมาท่านต้องการจะให้กำลังใจพระทั้งหมดที่ยังเป็นปุถุชน ให้เกิดอุตสาหะในการปฏิบัติธรรม จึงกล่าวถึงการทำตัวไม่ประมาทพร้อมทั้งกล่าวถึงความรู้สึกของท่านหลังได้บรรลุอรหัตผลว่า
คนโง่มัวแต่ประมาท แต่คนฉลาดจะรักษาความไม่ประมาทไว้
ให้เป็นเหมือนทรัพย์อันมีค่า
ท่านทั้งหลายอย่าประมาทเลย อย่าสนิทสนมกับความยินดีในกามเลย
เพราะคนไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมจะบรรลุถึงบรมสุขได้
เรามาดีแล้วที่ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
เราคิดดีแล้วที่ได้คิดบวชเป็นสาวกของพระองค์
เพราะทำให้ได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ
นับว่าได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว
เมื่อก่อน เราอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นป่า โคนไม้
ภูเขา หรือในถ้ำ ก็อยู่อย่างหวาดเสียว
มาบัดนี้เราอยู่อย่างเป็นสุข ทั้งยามยืน เดิน นั่ง นอน
เพราะพระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือเราให้พ้นแล้วจากมือมาร
เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์อุภโตสุชาต (มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดามารดา)
มาบัดนี้ ได้มาเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชา
พระเสละ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว พาพระบริวาร ๓๐๐ รูป เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก
นับแต่วันที่ข้าพระองค์ได้ถึงพระองค์เป็นที่พึ่งมา วันนี้เป็นวันที่ ๘ แล้ว
๗ วันที่ผ่านมานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกฝึกฝนอย่างหนัก
จนประสบผลสำเร็จในศาสนาของพระองค์
ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
คือตื่นจากหลับด้วยอำนาจกิเลสเองแล้ว ยังปลุกผู้อื่นให้ตื่นตามด้วย
พระองค์เป็นพระศาสดา คือ สอนทั้งเทวดาและมนุษย์
พระองค์เป็นพระมุนีผู้มีอำนาจเหนือมาร
ทรงตัดกิเลสที่นอนเนื่องในพระทัยมานานแสนนานได้แล้ว
ทรงข้ามพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยพระองค์เอง
แล้วยังช่วยส่งหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นตามด้วย
พระองค์เป็นเหมือนพญาราชสีห์ เพราะไม่ทรงกลัวภัยอันใด
ทรงทำลายอาสวะ ละความยึดมั่นได้หมด
หลังจากกราบทูลถึงการบรรลุอรหัตผลของท่านและบริวารแล้ว ท่านได้ทูลขอโอกาสถวายบังคมพระบาทของพระพุทธเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้ยอดกล้า ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้
ยืนประคองอัญชลีอยู่พร้อมหน้า
ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทออกมาเถิด
ภิกษุทั้งหมดนี้จะถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาของพวกเขา
ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเหยียดพระบาทออกมาแล้ว ท่านพร้อมด้วยพระ ๓๐๐ รูป ก็พร้อมกันถวายบังคม
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 88 มี.ค. 51 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)