xs
xsm
sm
md
lg

ของมีอยู่เหมือนไม่มี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อันของมีอยู่เหมือนไม่มีนี้ ท่านว่าไว้มี ๔ อย่าง คือ มีโคนม ๑ มีโคถึก ๑ ไปฝากไว้ให้เขาเลี้ยงมีภรรยาเอาไปฝากในตระกูลพ่อปู่ ๑ มีเงินให้เขายืม ๑ ของ ๔ อย่างนี้นั้นมีเหมือนกับไม่มี นั่นเป็นของภายนอก ตั้งหลักสูตรไว้ ให้เรานำมาคิดเทียบเข้ามาในตัวเรานี้ ตัวของเราที่ว่าเป็นเรา เป็นของของเรานั้น เป็นจริงหรือไม่ จะเหมือนกับของ ๔ อย่างที่ว่ามีเหมือนไม่มีอย่างไร

คนเราเกิดมาเป็นหญิงเป็นชายแล้ว ก็ถือว่านั่นเป็นเรา เป็นของของเรา แท้จริงเป็นของสูญเปล่า สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น‘อนัตตา’ทั้งนั้น ที่ว่านั่นเป็นหญิง นั่นเป็นชาย หรืออะไรต่ออะไรนั้น เป็นเพียงชื่อสมมติใน วงที่รู้กันแคบๆ เท่านั้น เช่นคำที่เรียกกันว่าคนก็ดี ว่าหญิง ว่าชายก็ดี จะรู้กันได้ก็แต่เหล่ามนุษยชาติเรานี้เท่านั้น สัตว์เหล่าอื่นเขาหาได้รับรู้ด้วยพวกเราไม่ เขาจะเห็นพวกเราเป็นอะไรก็ไม่ทราบ เหตุนั้น โดยมากเขาจึงพากันกลัวพวกเรา ดังพวกเราที่กลัวสัตว์บางจำพวกที่ไม่เคยเห็นฉะนั้น

ดังเคยได้อธิบายมาให้ฟังแล้วว่า ตัวคนเรานี้ เมื่อสิ่ง ๔ อย่าง คือ ธาตุทั้งสี่ ประกอบควบคุมกันเข้าแล้วก็เป็น รูปเป็นตัวขึ้นมา สิ่งทั้งสี่สลายตัวออกจากกันแล้วรูปตัวก็ไม่มี เป็นธาตุ ๔ ตามเดิม แต่ถึงกระนั้น เมื่อได้รูปตัวอันนี้มาแล้วก็เข้ารับเลี้ยงดูปกปักรักษา ทะนุถนอมด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะความหลงไม่รู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริง เป็นเหตุให้มีอุปาทานเข้าไปถือมั่นว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของของเรา แต่รูปตัวอันนั้นก็หาได้ รับรู้กับเราไม่ว่าเราหลงยึดถือเอามันเป็นของตัว

เรื่องรูปตัวเองที่ว่าเป็นอนัตตานี้ ถ้าเราวางจิตของเรา ให้เป็นกลาง อย่าได้นึกคิดว่ารูปตัวอันนี้เป็นของเรา หรือเป็นของใครอะไรทั้งหมดแล้ว มาตั้งสติพิจารณาให้เป็น ธรรม จะเห็นได้ง่ายอย่างชัดเจนทีเดียว คือพิจารณาตาม อาการที่มันเป็นอยู่ทุกๆอย่าง เช่น เราเลี้ยงถนอมหอมรักมันอย่างดีที่สุดก็ดี หรือเราเห็นโทษเกลียดชังมัน อย่างขนาดหนักก็ดี นี่เรื่องของเราที่มีต่อมัน

คราวนี้เรื่องของรูปกายที่มีต่อเรา ใครจะทำอย่างไร ว่าอะไรก็ตามที มันไม่รับรู้ด้วยเราทั้งนั้น หน้าที่ของมันจะต้องแก่ก็แก่เรื่อยไป ไม่มีเวลาพักผ่อนให้โอกาสแก่ใครเลยตลอดเวลา ตั้งแต่นาทีแรกปฏิสนธิจนตาย

ความเจ็บก็เช่นเดียวกัน เราจะพยายามรักษาสุขภาพ อนามัยให้ดีที่สุด ก็รักษาได้เพียงเปลี่ยนหน้าความเจ็บเท่านั้น เช่น เจ็บในเวลานั่งเราจะต้องนอน เจ็บเวลานอน เราจะต้องลุกเดิน เจ็บในขณะเดินเราจะต้องยืนหรือนั่ง เปลี่ยนเจ็บอยู่อย่างนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือตลอดวันตาย (หมายความถึงป่วยในอิริยาบถ ๔) หากเจ็บไข้ด้วย โรคอื่น มีเป็นไข้ เจ็บหัว ปวดท้อง เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน แต่นั่นเป็นอาการเจ็บจรมาเป็นครั้งคราว เจ็บดังกล่าวมา เบื้องต้นเป็นการเจ็บประจำ ซึ่งใครจะแก้ไขไม่ได้

ความตายก็เหมือนกัน ไม่ว่าหนุ่มแก่เด็กเล็กแดง แม้แต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ซึ่งพ่อแม่ยังไม่ได้เห็นหน้า เลยก็ตายได้ ใครจะร่ำไห้บ่นทุกข์อย่างไร ความตายมันไม่รับรู้ทั้งนั้น

นี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งไม่มีเรื่องปิดบังอำพราง แล้วว่า รูปกายอันนี้เป็นของที่ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งนั้น

ตาที่มองเห็นรูปสวยๆ น่ารัก ตามันรักสวยยินดีพอใจ ด้วยหรือ ถ้าหากตารู้จักรักรูปสวยงามและพอใจแล้ว คน ตาบอดก็คงจะหมดความชอบรูปสวยงามได้แล้ว หูฟังเสียงก็เช่นเดียวกัน อายตนะทั้ง ๖ เมื่อพิจารณาโดยนัยนี้ทั้งหมดแล้ว เขาจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการ สัมผัสอายตนะภายนอกเลย ที่เห็นรูปและฟังเสียงได้เป็นต้นนั้น เป็นเพียงแสงสะท้อน คลื่นของเสียงกระทบ เป็นต้นเท่านั้น ส่วนตาและหูเป็นเพียงแต่แว่นขยาย หรือลำโพงเท่านั้น หาได้มีส่วนอะไรกับเขาไม่ ตาหูเป็นต้นก็มิใช่ของเรา และก็มิใช่ของมันอีกด้วย เพราะมันเองก็ไม่มี สิทธิ์เสรีแก่ตัวเอง เพียงแต่เป็นเครื่องมือของคนอื่นเท่านั้น

ถ้าเช่นนั้น ก็ใครเล่าเป็นผู้เห็นรูปฟังเสียงเป็นต้น ‘วิญญาณ’ต่างหากเป็นผู้เห็นรูปฟังเสียงเป็นต้นเหล่านั้น แต่วิญญาณก็ไม่ได้อะไรจากการเห็นและการได้ฟังเสียง นั้นๆ วิญญาณทำหน้าที่เพียงเป็นผู้รู้ในการเห็นรูป ฟังเสียง ฯลฯ และหน้าที่อื่นๆอีก แล้วก็หมดหน้าที่ของวิญญาณไป เหมือนกับลมมาปะทะต้นไม้ให้ปรากฏว่ามี ลมเท่านั้น แต่ลมก็มิได้ติดอยู่ที่ต้นไม้นั้น

แล้วใครเล่าที่ว่ารูปสวยงามน่ารักน่าใคร่พอใจ เสียงไพเราะน่าเพลิดเพลินสนุกจริง ‘สัญญา’ ‘สังขาร’ กับ‘เวทนา’ ๓ อย่างนี้เป็นผู้รับหน้าที่ต่อ แล้วทั้งสามนั้นได้ อะไร ก็ไม่ได้อะไร สัญญาเป็นเพียงประมูลได้ สังขารเป็น ผู้รับเหมาก่อสร้าง เวทนาเป็นเพียงผู้รับค่าจ้างเท่านั้น ตกลงก็ไม่มีใครได้อะไร

ถ้าอย่างนั้น ค่าแรงงานใครเป็นผู้ใช้จ่าย ก็ ‘จิต’ นั้นแหละเป็นผู้ใช้จ่าย เมื่อจิตได้รับค่าแรงงานอันเวทนาหยิบยื่นให้แล้ว จิตก็จะใช้จ่ายไปดูรูปฟังเสียงอีก ยิ่งใช้ จ่ายมากเท่าไรก็จะได้ค่าแรงงานมากเท่านั้น ค่าแรงงาน ที่จิตได้นั้นเป็นค่าแรงงานลม เพราะจิตก็ไม่มีวัตถุ เป็นตัวลมเหมือนกัน ลมได้ลมมาเป็นสมบัติก็ไม่มีวันอิ่มวันเต็มได้ ตกลงลมได้ลม ลมยึดลม ลมเกิดขึ้นแล้วลมก็ดับไปเอง ไม่มีใครเป็นคนได้ คนเสีย เป็นอันจบกันที

เรื่องของมีอยู่เหมือนกับไม่มี มันเป็นอย่างนี้ ว่าไม่มี ก็ปรากฏอยู่ ว่ามีก็ไม่เห็นได้อะไร
เมื่อไม่ได้ ไม่เห็นผลแล้ว ทำอย่างไร ตามธรรมดาก็ ต้องล้มเลิกกัน แต่เรื่องของ ‘อนัตตา’ แล้ว ไม่รู้จักล้มเลิกเป็น ยิ่งทำไม่เห็นก็ยิ่งขยัน จนเรียกว่าหลง ว่าเมา จนควันหลงควันเมาเข้าตาก็ไม่เห็นเอาเสียเลย

มีปัญหาต่อไปว่า เมื่ออะไรๆ ก็เป็นอนัตตา และไม่มี ใครได้ใครเสียแล้ว ก็อะไรจะมาเมามาหลงอยู่อีกเล่า ความหลงความเมาอนัตตานั่นแหละยังเหลืออยู่ ถ้าหาก รู้อนัตตาเสียแล้ว ความหลงความเมาก็หายไป อัตตาและอนัตตาก็ไม่มี คราวนี้ของไม่มีกลับเป็นของมีขึ้น คือตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น ดังได้อธิบายมานั้น ต่างก็ ไม่มีของใครและไม่มีผู้ได้ผู้เสีย เป็นแต่ของเหล่านั้นสืบเนื่องเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แล้วทำให้เกิดปฏิกิริยา ขึ้นมา เป็นไปในรูปต่างๆ ทำให้จิตหลงเข้าใจผิด เข้าไปยึดถือเอาด้วยอาการต่างๆ ที่เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ เลยกลายเป็นกิเลส

อุบายแยกอัตตา ถือว่ามีตนมีตัวด้วยความเข้าใจผิด เป็นเส้นชีวิตของสัตว์ทั้งหลายแต่ตั้งโลกมา โลกอันนี้จะตั้งเป็นโลกอยู่ได้ก็เพราะความถือนั้น ศาสนาในโลกทั้งหมดก็ต้องมีมติอย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นเป็นผู้ทรงรู้เห็นอุบายนี้ก่อนคนอื่นๆ

ฉะนั้นเป็นโชคดีแล้วที่พวกเราพากันได้พระศาสดาที่มีหูตาสว่างกว่าศาสดาอื่นๆ และพวกเราก็ได้มาเลื่อมใส ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ยังเหลืออย่างเดียว ว่า ทำไฉนพวกเราจะเข้าถึงธรรมของพระองค์ เห็นรูปกายอันนี้เป็นอนัตตา ตามที่พระองค์ท่านแสดงไว้ เมื่อพวกเราพากันหยิบยกเอารูปกายตัวตนอันนี้ขึ้นมาพิจารณา ตามนัยที่ได้แสดงมาแล้วข้างต้น ก็คงไม่เป็นของเหลือวิสัย อย่างน้อยอาจมองเห็นทางแห่งอนัตตา เพราะอุบายนี้เป็นทางตรงเข้าถึงความเป็นจริงทุกประการ

(แสดงธรรม ณ วัดเจริญสมณกิจ จ.ภูเก็ต วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 88 มี.ค. 51 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
กำลังโหลดความคิดเห็น