xs
xsm
sm
md
lg

ทำบุญน้อยแต่ได้บุญมาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในสมัยพุทธกาล มีเพื่อนของวังคันตพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของพระสารีบุตรเถระ ชื่อมหาเสนพราหมณ์ อยู่ในกรุงราชคฤห์ เป็นคนยากจน ไม่มีสมบัติอะไรเลย เช้าวันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้ออกไปบิณฑบาตที่บ้านของพราหมณ์นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขา แต่เขาคิดว่า บุตรของเรามาบิณฑบาตที่บ้านเรา ตอนนี้เราเป็นคนยากจน ทรัพย์สมบัติหรือวัตถุสิ่งของอะไรๆ ที่จะใส่บาตรก็ไม่มี บุตรของเราอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงหลบหน้า ไม่กล้าออกมาพบพระเถระ ในวันต่อมาพระเถระก็ได้ไปบิณฑบาตอีก พราหมณ์ก็ได้หลบหน้า อีกเช่นเคย แต่ในใจเขาก็คิดอยู่ว่า “ถ้าวันไหนเรามีอะไรที่จะถวายพระเถระเราก็จะถวายแก่ ท่าน” แต่วันแล้ววันเล่าเขาก็ไม่ได้วัตถุสิ่งของอะไรที่จะถวายพระเถระเลย

ต่อมาวันหนึ่งเขาได้ข้าวปายาสเต็มถาดและผ้าสาฎกเนื้อหยาบผืนหนึ่งจากที่แห่งหนึ่ง เมื่อกลับไปถึงบ้านจึงนึกถึงพระเถระขึ้นมาว่า “เราควรจะถวายสิ่งของเหล่านี้แก่พระเถระ” ในขณะเดียวกันนั่นเอง พระเถระซึ่งกำลังนั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ เห็นพราหมณ์ในนิมิต และคิดว่า “ขณะนี้พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว และอยากถวายสิ่งของเหล่านั้นกับเรา เราควรจะไปที่นั่น” คิดดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นห่มผ้าจีวรพร้อมพาดสังฆาฏิ เดินอุ้มบาตรไปยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ของพราหมณ์

ฝ่ายพราหมณ์เมื่อมองไปเห็นพระเถระยืนอุ้มบาตรอยู่หน้าบ้านก็เกิดมีจิตเลื่อมใสเป็น อย่างยิ่ง จึงเข้าไปไหว้และนิมนต์ให้เข้าไปนั่งในบ้าน แล้วนำข้าวปายาสมาถวาย ขณะที่เขานำข้าวปายาสใส่ลงไปในบาตรอยู่นั้น พอใส่ไปได้ครึ่งหนึ่งพระเถระก็เอามือปิดบาตรไว้คิดว่าน่าจะพอแล้ว เหลือไว้ให้พราหมณ์ได้กินบ้าง เพราะเขาเป็นคนจนไม่มีอะไรเลย แต่พราหมณ์กลับบอกว่า

“ข้าวปายาสนี้มีนิดเดียว ขอท่านจงสงเคราะห์ผมในโลกหน้าเถิด อย่าสงเคราะห์ในโลก นี้เลย กระผมอยากจะถวายทั้งหมด” กล่าวแล้ว พราหมณ์จึงตักข้าวปายาสทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร

เมื่อพราหมณ์ใส่บาตรเรียบร้อยแล้วพระเถระก็นั่งฉันอยู่ที่บ้านของพราหมณ์นั่นเอง หลังจากฉันเสร็จ พราหมณ์ก็นำผ้าสาฎกมาถวายอีก แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า
“ขอให้กระผมบรรลุธรรมเหมือนอย่างที่พระคุณเจ้าบรรลุเถิด”

พระเถระจึงให้พรว่า “จงสำเร็จอย่างนั้น พราหมณ์”

จากอานิสงส์ที่ได้ถวายทานด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง จึงทำให้เกิดความอิ่มอก อิ่มใจมาก และพราหมณ์นี้ก็มีความเคารพรักในพระเถระยิ่งนัก ดังนั้น เมื่อตายไปจึงไปบังเกิดในตระกูลของคนที่เป็นผู้อุปัฏฐากพระเถระ ในกรุงสาวัตถี

ในขณะที่มารดาของเขาตั้งครรภ์ นางได้งดการบริโภคอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และเปรี้ยวจัด เป็นต้น ในเวลาแพ้ท้อง นางคิดว่า อยากจะนิมนต์ภิกษุสัก ๕๐๐ รูป มีพระสารี-บุตรเถระเป็นประธานมาที่บ้านแล้วถวายข้าวปายาส แล้วตนเองก็บริโภคข้าวปายาสที่เหลือจาก ที่พระฉัน นางได้ทำอย่างที่คิดนั้นความแพ้ท้องจึงสงบลง
เมื่อทารกคลอดออกมา พวกญาติจึงอาบน้ำให้แล้วให้นอนบนผ้ากัมพลที่มีราคาแพงถึง หนึ่งแสน และในวันนั้นก็ได้นิมนต์พระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทารกที่นอนอยู่บนผ้ากัมพลนั้นก็ได้แลดูพระเถระและคิดว่า พระเถระนี้เป็นบุรพจารย์ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้ เราควรจะทำบุญด้วยการบริจาคทานอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ท่าน
ดังนั้นในขณะที่พวกญาติอุ้มทารกไปรับศีลจากพระ ทารกน้อยได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นไว้ พวกญาตินึกว่าผ้าไปเกี่ยวติดมือเด็กจึงเอาออก ทำให้ทารกร้องไห้ พวกญาติจึงพูดกันว่า “พาไปที่อื่นเถอะ อย่าให้เด็กมาร้องไห้แถวนี้เลย” แต่ก่อนจะพาทารกน้อยออกไป นั้นก็ได้พาไปกราบลาพระ ขณะนั้นเอง ทารกก็ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ทำให้ผ้ากัมพลตกลงใกล้เท้าของพระเถระ พวกญาติจึงพูดขึ้นว่า “ผ้านี้อันบุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด”

หลังจากนั้นต่อมาเมื่อทารกน้อยเจริญวัย อายุได้ ๗ ขวบ จึงได้ขอบวชเป็นสามเณรใน สำนักของพระเถระ และกลายเป็นผู้มีลาภมากอย่างน่าอัศจรรย์ จากผลแห่งการทำทานใน อดีตชาติเมื่อครั้งยังเป็นพราหมณ์ผู้ยากจนนั่นเอง ในครั้งหนึ่งชาวเมืองสาวัตถีทราบข่าวว่า สามเณรจะเข้าไปบิณฑบาต ได้พากันจัดเตรียมข้าวปลาอาหารและผ้าสาฎกไว้ถวายสามเณร จำนวนมากถึง ๕๐๐ ผืน ในวันต่อมาก็ได้ตามมาถวายถึงวัดที่สามเณรพักอยู่ซึ่งไม่ไกลจากวิหารอีก ๕๐๐ ผืน เป็นหนึ่งพันผืน

วันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว สามเณรได้เที่ยวจาริกไปในวัดต่างๆ เห็นพวกภิกษุพากันนั่งผิง ไฟอยู่ จึงเรียนถามว่า “ท่านขอรับ เหตุไรจึงนั่งผิงไฟ ทำไมไม่หาผ้ากัมพลมาห่ม”
พวกภิกษุกล่าวว่า “สามเณร เธอมีบุญมาก มีผู้ถวายผ้ากัมพล แต่พวกเราไม่มีเลย”
สามเณรได้ฟังดังนั้นจึงคิดหาผ้ากัมพลมาถวายภิกษุทุกรูป โดยสามเณรและพวกภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ได้เดินไปตามหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำผ้ากัมพลมาถวายถึง ๕๐๐ ผืน และเมื่อเดิน เข้าไปในตลาดก็มีพ่อค้าแม่ค้าเอาผ้ากัมพลมาถวายอีก ๕๐๐ ผืน
ในขณะที่สามเณรพาภิกษุเดินไปตามตลาดอยู่นั้น มีชายตระหนี่คนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าสามเณร และพวกภิกษุเดินมาทางบ้านของตัวเอง จึงเอาผ้ากัมพลสองผืนซ่อนไว้ เพราะกลัวว่าเณรจะขอ แต่พอสามเณรเดินมาถึงหน้าบ้าน เขาได้เห็นสามเณรก็เกิดความรักขึ้นมา ราวกับว่าสามเณร น้อยเป็นบุตรของตน เขาจึงคิดว่า เราจะให้สามเณรนี้ทุกอย่าง แล้วจึงไปเอาผ้ากัมพลสองผืนมาวางไว้แทบเท้าถวายแก่สามเณร แล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ขอผมพึงมีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว”

สามเณรได้ทำอนุโมทนาแก่เขาว่า “จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด”
หลังจากได้ผ้าครบแล้ว สามเณรจึงได้นำมาถวายแก่พระภิกษุทุกรูปตามที่ตั้งใจไว้ ต่อมาสามเณรรูปนี้ได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ชาวบ้านบริเวณนั้นก็ให้ความอุปถัมภ์บำรุง เป็นอย่างดีเช่นเคย และในสามเดือนต่อมาสามเณรก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
.........
จะเห็นได้ว่า สามเณรนั้นตอนที่ยังเป็นพราหมณ์ผู้ยากจนได้ถวายสิ่งของเพียงเล็กน้อย แต่ผลบุญที่ได้นั้นมากมายยิ่งนัก นั่นก็เพราะว่า ๑. ได้ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใส ๒. ของที่ถวาย ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ๓. พระสงฆ์ที่รับก็เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ทั้งสามองค์ประกอบนี้เป็น สิ่งสำคัญในการทำบุญตามหลักของพระพุทธศาสนา หากจะทำบุญให้ได้บุญมากนั้นต้องมีองค์ประกอบทั้งสามนี้ครบ เพราะการจะได้บุญมากหรือน้อย ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวัตถุสิ่งของ
นอกจากนั้นการทำบุญในพระพุทธศาสนานั้นยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ผู้ทำบุญได้บุญมาก โดยไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของใดๆเลย เพียงแต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองเท่านั้น เช่น การทำบุญด้วยการรักษาศีล ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา ทำบุญด้วยการประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ทำบุญด้วยการขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น ทำบุญด้วยการให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น ทำบุญด้วยการอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นทำ ทำบุญด้วยการฟังธรรม ทำบุญด้วยการบอกธรรมะแก่ผู้อื่น และทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง วิธีต่างๆ ทั้งหมดนี้ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ เป็นหลักการทำบุญในพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้ที่ไม่มีเงินทอง วัตถุสิ่งของอะไร ก็สามารถทำบุญได้ และเป็นบุญที่ให้ผลบุญมากๆ เช่นเดียวกัน


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 86 ม.ค. 51 โดยมาลาวชิโร)
กำลังโหลดความคิดเห็น