xs
xsm
sm
md
lg

รวยเพราะลุงตู่ซื้อทองเข้าคลัง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ช่วงนี้มีคนโพสต์ว่า “รัฐบาลลุงตู่ซื้อทองคำเข้าคลัง 90 ตัน วันนี้ฟันกำไรอู้ฟู่” หรือ “รัฐบาลลุงตู่จัดทุนสำรองให้แข็งแกร่ง ติดอันดับโลก” ฟังแล้วอาจทำให้คนทั่วไปรู้สึกภาคภูมิใจเหมือนประเทศมีผู้นำที่มองไกล รู้จักวางแผนสร้างความมั่นคง แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดและย้อนดูกลไกการบริหารเศรษฐกิจของรัฐจะพบว่านี่เป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากการบิดเบือนทางการเมืองเพราะความจริงแล้ว การสะสมทองคำและทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดเป็นผลงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นสถาบันอิสระตามกฎหมาย ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 

ทองคำที่ถูกอ้างว่า “รัฐบาลซื้อเข้าคลัง” แท้จริงคือสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ตทุนสำรองของ ธปท.ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงินรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ การตัดสินใจซื้อทองคำในปริมาณมากในช่วงปี2564 จึงเป็นการตัดสินใจเชิงเทคนิคของธนาคารกลาง ไม่ใช่นโยบายประชานิยมที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองใดๆ ข้อมูลจากแหล่งต่างประเทศระบุว่า ในช่วงปีนั้น ไทยเพิ่มการถือครองทองคำจากราว 150 ตัน เป็นกว่า 230 ตัน ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดในภูมิภาค ผลงานนี้ไม่ได้เกิดจาก “คำสั่งนายกรัฐมนตรี” แต่เกิดจากการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ของคณะผู้บริหารธนาคารกลางที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันประเทศจากพายุเศรษฐกิจโลก 

และเมื่อมองภาพรวมของฐานะการเงินในปัจจุบัน จะเห็นชัดว่าประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแรงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ที่กว่า 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.7 ล้านล้านบาท อยู่ในอันดับที่14 ของโลก และสูงเป็นอันดับต้นของอาเซียน เหนือกว่าอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย รวมกันเกือบสองเท่า แม้สิงคโปร์จะมีทุนสำรองมากกว่าเพราะเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก แต่สิงคโปร์ก็มีขนาดเศรษฐกิจเฉพาะด้านที่ต่างจากเราโดยสิ้นเชิง หากวัดความมั่นคงเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ต่างประเทศต่อทุนสำรอง หรือสัดส่วนทุนสำรองต่อการนำเข้า ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังมี “กันชน” พอรองรับวิกฤตได้อย่างน้อย 8 เดือนติดต่อกัน ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนมีทุนสำรองครอบคลุมนำเข้าได้เพียง 4–5 เดือนเท่านั้น 

จุดที่ทำให้เรื่องนี้กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง เพราะขณะนี้ราคาทองคำโลกกำลังพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ราคาทองคำในตลาดสปอตทะยานแตะกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า52 % ภายในเวลาเพียงปีเดียว ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้ที่ถือทองคำสำรองไว้ก่อนหน้าได้รับประโยชน์ทันที และนั่นเองที่กลายเป็นช่องให้กองเชียร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ หยิบยกขึ้นมาอ้างว่า “เห็นไหมรัฐบาลลุงตู่ซื้อทองไว้เลยได้กำไร” ทั้งที่ความจริงคือ ธปท. เป็นผู้ถือทองคำนั้นมาตลอด และผลกำไรที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลสะท้อนจากการขึ้นของราคาตลาดโลก ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจทางการเมืองใดๆ เลย 

สิ่งที่สังคมควรเข้าใจให้ชัด คือ ในระบบเศรษฐกิจของไทยมี“สองกลไกใหญ่” ที่ต้องทำงานแยกกันอย่างอิสระคือ นโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง นโยบายการเงินเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย และระบบการเงิน ขณะที่นโยบายการคลังเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ภายใต้รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดทิศทาง โดยมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้รัฐ และดูแลงบประมาณประเทศ การคลังเป็น “ฝั่งใช้จ่าย” ส่วนการเงินเป็น “ฝั่งควบคุมสมดุล” ทั้งสองฝ่ายจึงต้องทำงานประสานกันแต่ไม่ซ้ำรอยกัน เพราะหากรัฐบาลใช้ธนาคารกลางเป็นเครื่องมือเพื่อพิมพ์เงินปั่นค่าเงินบาท หรือกดดอกเบี้ยเพื่อผลทางการเมือง ประเทศนั้นจะหมดเสถียรภาพทันที 

ยุคของศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ว่าการฯ ในช่วงปี2502–2514 ซึ่งถือเป็น “ยุคทองของความเป็นอิสระทางนโยบายการเงิน” ดร.ป๋วย วางรากฐานให้แบงก์ชาติเป็น “ผู้รักษาเสถียรภาพ” มากกว่าจะเป็น “เครื่องมือของรัฐบาล” เขายืนยันว่าหน้าที่ของธนาคารกลางคือการรักษาค่าเงินให้อยู่ในระดับมั่นคงควบคุมเงินเฟ้อ และบริหารทุนสำรองให้มีความปลอดภัย มากกว่าการตอบสนองต่อแรงกดดันทางการเมือง เขาเคยปฏิเสธการสั่งการจากรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์หลายครั้ง เมื่อนโยบายขัดต่อหลักเศรษฐศาสตร์ และยังปกป้องสถาบันการเงินจากการแทรกแซงจนถูกโจมตีทางการเมือง แต่เขาไม่ยอมละทิ้งหลักการ เพราะเชื่อว่าธนาคารกลางที่ยอมให้การเมืองครอบงำจะพาประเทศเดินสู่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจ 

ยุคของป๋วยจึงเป็นช่วงเวลาที่คำว่า “อิสระจากการเมือง” ถูกฝังลึกในวัฒนธรรมองค์กรของ ธปท.และยังเป็นต้นแบบที่ทำให้ธนาคารกลางในยุคต่อมาดำเนินนโยบายอย่างมีวินัยและความรับผิดชอบ ภายหลังปี 2540 ประเทศไทยได้ปฏิรูปกฎหมายธปท.ให้มีความอิสระยิ่งขึ้น มีคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อป้องกันการเมืองเข้ามาครอบงำทิศทางการเงินของชาติ 

ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยบทเรียนจากประเทศที่ปล่อยให้การเมืองเข้าแทรกแซงธนาคารกลางจนเศรษฐกิจล่มสลาย ตุรกีในยุคประธานาธิบดีแอร์โดอันเป็นตัวอย่างชัดเจน เมื่อรัฐบาลพยายามบังคับให้ลดดอกเบี้ยทั้งที่เงินเฟ้อสูง ผลคือค่าเงินลีราร่วงกว่า 80% ภายในสองปี เงินเฟ้อทะลุ 60% และประชาชนต้องหันไปใช้เงินดอลลาร์แทนเงินของตัวเอง อาร์เจนตินาก็เช่นกันเมื่อรัฐบาลพิมพ์เงินสนองนโยบายประชานิยม เงินเฟ้อพุ่งทะลุ200% และเศรษฐกิจพังย่อยยับ ส่วนประเทศไทยเองก็เคยเจ็บปวดมาแล้วในวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นกดดันให้ธนาคารกลางตรึงค่าเงินบาทไว้เพื่อรักษาหน้าทางการเมืองสุดท้ายเมื่อแบงก์ชาติขาดอิสระในการตัดสินใจ เงินทุนไหลออกวิกฤตถาโถม จนต้องพึ่ง IMF 

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน บทเรียนเหล่านี้ย้ำให้เห็นว่า การคงความอิสระของธนาคารกลางคือหัวใจของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และคือเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยยังมีทุนสำรองกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะผู้นำการเมืองคนใดมองขาดหรือสั่งการอย่างชาญฉลาด แต่เพราะเรามีสถาบันหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลักวิชา ไม่ใช่กระแสทางการเมือง การที่ ธปท.ถือทองคำไว้ในช่วงที่ตลาดโลกยังไม่แน่นอน คือการมองการณ์ไกลของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ความบังเอิญที่ควรนำมาอ้างเป็นเครดิตของนักการเมือง 

และในวันที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นทุกวัน กองเชียร์ของพล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรีบฉวยจังหวะมาอ้างเป็นผลงาน “ลุงตู่” แต่ข้อเท็จจริงทางโครงสร้างนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจในการสั่งให้ ธปท.ซื้อทองคำหรือบริหารทุนสำรองโดยตรง นี่คือหลักการที่จารึกไว้ในกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกยึดถือเพื่อป้องกันประเทศจากการเมืองที่อาจเปลี่ยนไปทุกสี่ปี การอ้างว่า“รัฐบาลซื้อทอง” จึงไม่ต่างอะไรจากการอวดบ้านหลังใหญ่ที่ตนไม่ได้สร้าง 

ความจริงจึงมีเพียงหนึ่งเดียว ทองคำที่ไทยถืออยู่ในวันนี้คือ“สินทรัพย์ของชาติ” ที่เกิดจากการตัดสินใจของธนาคารกลางไม่ใช่ของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง และกำไรที่เห็นไม่ใช่ “ผลตอบแทนของลุงตู่” แต่คือ “รางวัลของความรับผิดชอบ” จากการทำงานของคนในแบงก์ชาติที่ทุ่มเทเพื่อปกป้องเศรษฐกิจของคนทั้งประเทศ 

การเมืองอาจสร้างภาพได้ทุกอย่าง แต่ตัวเลขและโครงสร้างทางกฎหมายไม่เคยโกหก ทองคำทุกออนซ์ที่อยู่ในทุนสำรองวันนี้คือฝีมือของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ของรัฐบาลประยุทธ์และนั่นคือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น