เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันถึงเรื่องการพบปะเจรจาระหว่าง 2 ผู้นำโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า”แห่งอเมริกา และประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย ที่พร้อมโคจรมาเจอกัน ณ เมือง “Anchorage” มลรัฐอะแลสกา ประเทศอเมริกา เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา(15 ส.ค.) อันเป็นสิ่งที่ใครต่อใครอาจมี “มุมมอง” ไปคนละแง่-คนละม้วนจนบางรายอาจออกไปทางบ้า ทางคลั่ง หรือบางรายอาจมองว่าไม่มีอะไรเลย เพราะอย่างที่ผู้นำอเมริกาได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงผลแห่งการพบปะคราวนี้ ด้วยการสรุปว่า “ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ จนกว่าจะตกลง”อะไรทำนองนั้นด้วยเหตุนี้...คงต้องหยิบมาคิดมาพิจารณา มาใคร่ครวญให้พอมองเห็นร่องรอยรางๆ ขึ้นมาได้มั่ง...
คือถ้าหากมองจากมุมมองของ “สื่อตะวันตก” ทั้งหลาย...ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียคุณ “Maria Zakharova” เธอสรุปไว้แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ว่าออกจะหนักไปทาง “Frenzy” หรือคลุ้มๆ คลั่งๆ ประมาณนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าว “Bloomberg” ที่สรุปเอาดื้อๆ ว่า การที่ผู้นำรัสเซียย่างเหยียบเข้ามาในดินแดนอเมริกาและได้รับการต้อนรับเต็มเกียรติเต็มภาคภูมิ ถือได้ว่าผู้นำอเมริกาได้กลายเป็นผู้ “มอบชัยชนะทางการทูต” ให้กับผู้นำรัสเซียไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับสำนักข่าว “Politico” ที่ถึงกับพาดหัวเอาไว้ว่า “Putin Alaska Triumph”หรือถือเป็นชัยชนะของ “ปูติน” โดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ส่วนสำนักข่าว “CNN” สรุปเอาไว้ทำนองว่าสิ่งที่เรียกว่า “ความโดดเดี่ยว” ของรัสเซีย ได้สิ้นสุดยุติลงไปแล้วทันทีที่เหยียบย่างมาถึงเมือง “Anchorage” ของอเมริกา ฯลฯ...
ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่สื่อระดับโลกอย่าง “The Washington Post” จะระบุเอาไว้ถึงขั้นว่า “การต้อนรับอันอบอุ่นของอเมริกาต่อผู้นำรัสเซีย ก่อให้เกิดอาการช็อกต่อยูเครนและยุโรป” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะการที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ตัดสินที่จะเจอผู้นำรัสเซียโดยลำพัง โดยไม่ต้องมียูเครนหรือประเทศยุโรปที่ให้การสนับสนุน “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างสุดลิ่มทิ่มกระดาน เข้ามามีส่วนรับรู้ เกี่ยวข้องด้วยเลยนั้น ได้ส่งผลให้บรรดาผู้นำยุโรปหลายต่อหลายประเทศ ต้องออกมาคร่ำครวญหวนไห้ ถึงสิ่งที่เรียกว่า “เอกภาพสองฟากฝั่งแอตแลนติก”หรือ “Transatlantic unity” จนคอลัมนิสต์ชื่อดังและพิธีกรรายการทอล์กโชว์ อย่างคุณ “Rachel Marsden” เธออดไม่ได้ที่จะอุปมา-อุปไมยให้พอเห็นภาพ นึกภาพ เอาไว้นั่นแหละว่า...คล้ายๆ “เด็ก” ที่กำลังเดินโซซัดโซเซกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยเหตุเพราะบิดาบังเกิดเกล้าดันปล่อยมือหลุดระหว่างจูงให้เดินไปตามห้าง จนตัวเองเลยต้องหลงทิศหลงทาง อยู่ระหว่างร้านขายขนมเค้ก(Cinnabon) กับร้านเบอร์เกอร์คิง(Burger King) อะไรทำนองนั้น...
แต่การที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่คิดจะดึงเอาบรรดาผู้นำยุโรปเข้ามาร่วมรับรู้ ในการพูดคุยเจรจาปัญหายูเครนกับผู้นำรัสเซียคราวนี้ ก็อาจเป็นเพราะอะไรต่อมิอะไรมันน่าจะเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันและผู้เชี่ยวชาญด้านระเบียบโลก
อย่าง “นายAndrew Korybko” เขาได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “EU capitulated to Trump in
vassal-state trade deal” หรือที่ “สำนักข่าวผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาถ่ายทอดในชื่อเรื่องว่า “อียู-ยอมจำนนทำข้อตกลงการค้าแบบตกเป็นรัฐบริวารสหรัฐฯ กับโดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นเอง...
คือด้วยเหตุเพราะอเมริกาย่อมสามารถหันซ้าย-หันขวา สั่งให้บรรดาชาติยุโรปตีลังกาหน้า-ลังกาหลังไปในทางไหน ทิศไหนก็ย่อมได้ เพราะการยอมเสียภาษีสินค้าเข้าไปยังอเมริกา15 เปอร์เซ็นต์ ยอมควักเงินที่แทบไม่ค่อยมีติดกระเป๋า มาซื้อพลังงานราคาแพงๆ จากอเมริกาแทนที่จะซื้อถูกๆ จากรัสเซียถึง 750,000 ล้านดอลลาร์ ยอมหอบเงินเข้าไปลงทุนในอเมริกาอีกไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ แถมยังต้องสั่งอาวุธเมด อิน อเมริกาอีกซะด้วย สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ชาติยุโรปทั้งหลายแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “รัฐบริวาร” ของอเมริกา โดยไม่จำเป็นจะต้องยื่นหน้า เสนอหน้าเข้ามาในระหว่างการพูดคุยของ 2 ผู้นำโลกเอาเลยแม้แต่น้อย...
แต่ก็นั่นแหละ...การพบปะเจอะเจอระหว่าง 2 ผู้นำคราวนี้ ย่อมต้องถือเป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” อาจถือเป็นงานใหญ่งานช้างเอาเลยทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันคงไม่ใช่แค่การเจ๊าะแจ๊ะเจรจากันในเรื่อง “ยูเครน” เท่านั้น หรือปัญหาเรื่องยูเครนอาจเป็นเพียงแค่ “สัญลักษณ์” ชนิดหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซียกับโลกตะวันตก” หรือ “โลกตะวันตกกับโลกตะวันออก” หรือแม้กระทั่ง “โลกเหนือกับโลกใต้”หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียวกับโลกหลายขั้วอำนาจ” เอาเลยก็ว่าได้ ไม่งั้น...ผู้นำรัสเซียท่านคงไม่จำเป็นต้องพยายามแจกแจงรายละเอียดในการเตรียมพบปะกับผู้นำอเมริกาให้กับพันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดอย่างจีน ผู้นำอินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ หรือบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศ “BRICS” ทั้งหลาย ที่ต่างกำลังต้องเจอกับ “สากกะเบือด้ามสุดท้าย”ของผู้ที่ยังคงหวังที่จะดำรงสถานะเป็นประมุขโลก หรือ “จักรพรรดิโลก”อย่าง “ทรัมป์บ้า” ด้วยการเก็บภาษีสินค้าเข้าไปยังอเมริการะดับ 50 เปอร์เซ็นต์ หรือเผลอๆ อาจถึง100 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
และสิ่งเหล่านี้...บรรดานักคิดชาวรัสเซีย ไม่ว่าผู้อำนวยการวิจัยสโมสรนักคิด “The Valdai Club” และประธานสภานโยบายกิจการต่างประเทศและการป้องกัน อย่าง “นายFyodor Lukyanov” ดูๆ เขาจะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งโดยได้สรุปไว้ในข้อเขียนบทความ เรื่อง “A new security order is on the table in Alaska” หรือผู้อำนวยการโครงการ “The Valdai Club” อีกราย “นายTimofey Bordachev” ที่ได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Why Putin and Trump had to talk in person”ใครสนใจรายละเอียดก็ลองไป “คลิก” ดูก็แล้วกัน แต่โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ...มันเป็นการพบปะเจอะเจอระหว่างผู้นำรายหนึ่งที่ยังคงเชื่อว่า โลกใบนี้...ยังคงเป็นโลกที่มีขั้วอำนาจสูงสุดอยู่เพียงขั้วเดียว และยังสามารถหันซ้าย-หันขวาใครต่อใครได้โดยตลอด กับผู้นำอีกรายหนึ่งที่เชื่อว่า โลกใบนี้...ได้เปลี่ยนแปลงไปแบบไม่มีวันย้อนกลับไปได้อีกต่อไปแล้ว กลายเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยขั้วอำนาจอันหลากหลายที่จะต้องหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ให้จงได้ ไม่ว่าจะมีระบอบการเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณีผิดแผกแตกต่างกันไปในลักษณะไหน ก็ตามที...
อาจด้วยเหตุนี้...ที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” นอกจากจะออกมาเน้นย้ำไว้ก่อนหน้าการประชุมคราวนี้ว่ารัสเซียนั้นมี “จุดยืนที่ชัดเจน” ต่อการพบปะเจรจาดังกล่าว ยังแถมไปคว้าเสื้อยืด เสื้อชั้นใน ที่มีตรายี่ห้อ “CCCP”หรือ “USSR” อันเป็นชื่อย่อของอดีตสหภาพโซเวียต มาสวมเอาไว้ให้บรรดาผู้สื่อข่าวต้องตีความไปต่างๆ นานาขณะเดินทางไปถึงเมือง “Anchorage”อีกซะด้วย เช่นเดียวกับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov” ที่ไม่ได้มองแค่สีสันบรรยากาศเปลือกๆ ผิวๆ ในการที่ผู้นำอเมริกาจะปูพรมแดง-ไม่ปูพรมแดงต้อนรับผู้นำรัสเซียหรือไม่? อย่างไร? แต่พร้อมที่จะสรุปไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า... “เรายังอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าการผ่อนคลายความตึงเครียดครั้งใหม่ (a
new détente) กับสหรัฐอเมริกา” หรือยังคงน่าจะ “ไม่มีข้อตกลง”ใดๆ “จนกว่าที่จะตกลง”ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวถึงผลแห่งการพบปะคราวนี้...นั่นแล...
การพบปะระหว่างผู้นำรัสเซียกับผู้นำอเมริกาคราวนี้...จึงไม่ต่างอะไรไปจากการที่ “โลกขั้วอำนาจเดียว”กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ได้มีโอกาสเจอะเจอกันบน “โต๊ะเจรจา” เป็นครั้งแรกนั่นเอง ส่วนหลังจากนั้น...มันจะนำไปสู่อะไรกันต่อไป ก็อาจเป็นไปดังที่นักประวัติศาสตร์เยอรมนีแห่ง “Koc University”อย่าง “นายTaric Cyril Amar” ได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Here’s why all the critics of Alaska summit are wrong.” หรือทำไม??? การวิพากษ์วิจารณ์ถึงการประชุมสุดยอดคราวนี้อาจผิดพลาดไปทั้งหมด ด้วยเหตุผลสั้นๆ-ง่ายๆ แต่ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือ...ด้วยเหตุเพราะ “ปัญหาแห่งอนาคตนั้น...ก็คือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้” โดยเฉพาะถ้าต่างฝ่ายต่างยัง “เชื่อ” ในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น ถือมั่น อย่างไม่คิดจะลดละเลิก...
ยิ่งในเมื่อ “พระจักรพรรดิโลก” อย่าง “ทรัมป์บ้า”เกิดความมั่นอก-มั่นใจเอามากๆ ในการบีบบังคับให้โลกทั้งโลกต้องหันมา “Kiss Ass” ตัวกูเอง ชนิดแม้กระทั่งประเทศพันธมิตรที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่ ยังต้องยอมรับสภาพความเป็น “รัฐบริวาร” ไปเรียบร้อยแล้ว ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเลยต้องหันไปแจกแจงถึงการประชุมคราวนี้กับบรรดาผู้นำจีน อินเดียบราซิลและแอฟริกาใต้ ให้รับรู้ รับทราบกันในรายละเอียด ด้วยเหตุนี้...แม้จะยัง “ไม่มีข้อตกลงใดๆ จนกว่าจะตกลง”อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” ได้สรุปเอาไว้ แต่ต้องถือเป็นการพบปะกันบน “โต๊ะเจรจา”ครั้งแรกระหว่างโลกเหนือกับโลกใต้ โลกตะวันตกกับโลกตะวันออก หรือโลกขั้วอำนาจเดียวกับโลกหลายขั้วอำนาจ ส่วนหลังจากนี้...จะนำไปสู่อะไรกันต่อไป ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ “อำนาจ”ของแต่ละฝ่าย ว่าจะถูกนำมาใช้วัดตัดสินกันในแบบไหน? วิธีไหน? อันเป็นสิ่งที่ “มิอาจคาดเดาได้” และ “มิอาจหลีกเลี่ยงได้”นั่นเอง มีแต่ต้องคอยสวดมนต์ภาวนากันไปตามสภาพนั่นแหละ...สหาย!!!