xs
xsm
sm
md
lg

‘อียู’ยอมจำนนทำข้อตกลงการค้าแบบตกเป็นรัฐบริวารสหรัฐฯกับ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: แอนดรูว์ โคริบโค


อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (ซ้าย) จับมือกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ภายหลังทำข้อตกลงการค้ากันได้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขรมว่าอียูหงอสหรัฐฯเหลือเกิน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/07/eu-capitulates-to-trump-in-vassal-state-trade-deal/)

EU capitulates to Trump in vassal-state trade deal
by Andrew Korybko
28/07/2025

ข้อตกลงการค้าซึ่งสหภาพยุโรปยอมรับทั้งๆ ที่ฝ่ายตนเองเสียเปรียบมาก จะช่วยสหรัฐฯในการฟื้นฟูฐานะความเป็นเจ้าใหญ่เหนือใครภายในโลกซึ่งมีขั้วอำนาจเพียงขั้วเดียว เวลานี้วอชิงตันกำลังเล็งเป้าหมายต่อไปที่ทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้ แล้วถัดจากนั้นก็คือเอเชีย

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ซึ่งก็คือองค์กรฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป ตกลงยินยอมทำกรอบโครงข้อตกลง [1] ทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายอียูจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 15% จากสินค้ายุโรปส่วนใหญ่ที่นำเข้าอเมริกา รวมทั้งยังให้คำมั่นสัญญาที่จะซื้อหาผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานส่งออกของอเมริกาเป็นมูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และลงทุนคิดเป็นมูลค่า 600.000 ล้านดอลลาร์ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งบางส่วนจะอยู่ในรูปของการซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน

สำหรับภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมส่งออกของอียูจะยังคงอยู่ที่อัตรา 50% คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันนั้นสหภาพยุโรปตกลงว่าจะไม่เก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าสหรัฐฯเลย ทั้งนี้ หากทางอียูไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ที่ไม่มีความสมดุลเอาเสียเลยนี้ ทางเลือกที่เหลืออยู่ ก็คือ ทรัมป์ก็จะบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตรา 30% ตามที่เขาข่มขู่เอาไว้ โดยใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป [2]

ความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจมหภาคของสหภาพยุโรปเวลานี้ ได้อ่อนยวบลงไปอย่างรุนแรงในช่วงเวลา 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยเป็นผลลัพธ์ของมาตรการแซงก์ชั่นต่อต้านรัสเซีย ซึ่งอียูบังคับใช้อย่างสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับสหรัฐฯ จนทำให้ยุโรปต้องแยกขาดจากแดนหมีขาวที่เป็นซัปพลายเออร์ด้านพลังงานที่มีราคาถูกที่สุดและเชื่อถือไว้วางใจได้มากที่สุดจวบจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ ยุโรปจึงอยู่ในฐานะเสียเปรียบอย่างร้ายแรงยิ่งเรียบร้อยแล้ว ในการเข้าทำสงครามการค้าใดๆ ก็ตามที่ทำท่าจะเกิดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น ความล้มเหลวของอียูในการบรรลุข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่โตกับประเทศจีน นับตั้งแต่ที่ ทรัมป์ หวนกลับมาครองตำแหน่งเป็นวาระสอง โดยมีหลักฐานเห็นได้ชัดเจนระหว่างการประชุมซัมมิตจีน-อียูครั้งหลังสุด [3]ที่กรุงปักกิ่งปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงยิ่งทำให้เรื่องที่บรัสเซลส์ต้องอ่อนข้อให้แก่วอชิงตันเมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.ค.) กลายเป็นของแน่นอนอยู่แล้วหากลองย้อนระลึกทบทวนกันดู

ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกก็คือว่า อียูได้ยอมสยบยอมนำตัวเองให้กลายเป็นรัฐบริวารขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของสหรัฐฯ ภาษีศุลกากรอัตรา 15% ซึ่งสหรัฐฯเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากยุโรปเกือบทุกอย่าง จะเป็นตัวลดทอนการผลิตและผลกำไรของอียู และด้วยเหตุนี้จึงกำลังทำให้มีความเป็นไปได้สูงขึ้นมากที่ยุโรปจะต้องประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย

คำสัญญาของสหภาพยุโรปที่จะซื้อพลังงานสหรัฐฯซึ่งมีราคาแพงกว่าของรัสเซียมาก จึงยิ่งจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งขึ้นอีกในสถานการณ์ดังกล่าว ทำนองเดียวกัน คำมั่นของพวกเขาที่จะซื้ออาวุธสหรัฐฯมากขึ้นก็จะเป็นการบ่อนทำลาย “แผนการกลับมาติดอาวุธให้ยุโรปอีกครั้ง “ (ReArm Europe Plan) [4] โดยที่ผลกระทบของเรื่องนี้เมื่อบวกเข้ากับผลจากการยินยอมอ่อนข้อดังที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น จึงยิ่งกลายเป็นการสละอำนาจอธิปไตยของอียูซึ่งก็ได้ถูกลงทอนลงเรียบร้อยแล้ว ไปให้แก่สหรัฐฯเพิ่มมากขึ้นอีกเท่านั้น

ในทางกลับกัน สำหรับสหรัฐฯแล้ว เรื่องนี้สามารถเพิ่มกำลังใจความห้าวหาญให้แก่วอชิงตัน ในการออกแรงกดดันเพื่อให้ได้เงื่อนไขซึ่งดียิ่งขึ้นอีกระหว่างที่เจรจาทำข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้ในแนวรบอเมริกาเหนือ ทรัมป์มุ่งหวังที่จะย้ำยืนยันฐานะความเป็นเจ้าเหนือใครของสหรัฐฯต่อทั้งแคนาดาและเม็กซิโก โดยผ่านพวกเครื่องมือต่างๆ ในทางเศรษฐกิจ แล้วจากความสำเร็จของการนี้ก็จะยิ่งทำให้เขาสามารถแผ่ขยาย “ป้อมปราการแห่งอเมริกา” ลงไปทางใต้ได้อย่างสะดวกง่ายดายมากขึ้น

ถ้าหากเขาประสบความสำเร็จในการสยบบราซิลให้ต้องยินยอมอยู่ใต้อำนาจแล้ว [5] ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกก็ย่อมจะสามารถกลับเข้าที่เข้าทางได้อย่างเป็นธรรมชาติทีเดียว ดังนั้น จากดีลต่างๆ ต่อเนื่องเป็นชุดเหล่านี้ บวกกับดีลที่ได้ตกลงเอากับญี่ปุ่น [6] ไปแล้วตอนปลายเดือนกรกฎาคม จะทำให้แต้มต่อรองของทรัมป์แข็งแกร่งขึ้นเยอะในการจัดการกับจีนและอินเดีย

เขาคาดหวังในเชิงอุดมคติเอาไว้ว่าจะสามารถลอกเลียนความสำเร็จของเขาจากกรณีของญี่ปุ่นและของยุโรปมาใช้กับชาติเอเชียทั้งสองนี้ที่กำลังเป็นหลักเป็นแกนของกลุ่มบริกส์ (BRICS) [7] อีกทั้งแดนมังกรกับแดนภารตะรวมกันแล้วก็เป็นตัวแทนของมนุษยชาติถึงราวๆ หนึ่งในสามทีเดียว อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่ว่าเขาจะทำตามความปรารถนาได้อย่างง่ายๆ หรอก

โอกาสดีเยี่ยมที่สุดซึ่งทรัมป์จะสามารถใช้อำนาจบีบบังคับสองชาติใหญ่เอเชียนี้ให้ยินยอมทำข้อตกลงชนิดไร้ความสมดุลทำนองเดียวกันกับญี่ปุ่นและอียูได้สำเร็จนั้น จำเป็นที่เขาจะต้องนำพาสหรัฐฯให้อยู่ในฐานะทางภูมิเศรษฐกิจซึ่งได้รับเปรียบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงที่เจรจากับพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงมีความต้องการที่จะเร่งสร้าง “ป้อมปราการแห่งอเมริกา” ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยผ่านดีลการค้าต่อเนื่องกันเป็นชุดใหญ่ และพิสูจน์ให้เห็นว่าการคุกคามของเขาเรื่องภาษีศุลกากรนั้นไม่ได้เป็นเรื่องแค่การข่มขวัญกันเท่านั้น

อย่างที่ผมอธิบายเอาไว้ในข้อเขียนเรื่อง The Sino-Indo Rivalry Will Shape Trump’s Anti-Russian Secondary Sanctions Decision (ความเป็นศัตรูกันระหว่างจีน-อินเดีย จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจดำเนินมาตรการแซงก์ชั่นทุติยภูมิมุ่งต่อต้านรัสเซียของทรัมป์) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 [8] ตัวแปรนี้ รวมทั้งนโยบายโครงข่ายความสัมพันธ์รูปสามเหลี่ยมแบบคิสซิงเจอร์ (Kissingerian triangulation policy) ของสหรัฐฯ จะมีความสำคัญมากที่สุดในการกำหนดตัดสินอนาคตของการเจรจาการค้าของพวกเขา ถ้าหากทรัมป์ประสบความล้มเหลว เขาก็ไม่น่าจะบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตรา 100% เอากับจีน และ/หรือ อินเดีย ทว่าก็ยังสมควรที่จะต้องคาดหมายกันเอาไว้บ้าง

กระนั้นก็ตาม จากการที่มีญี่ปุ่น, อียู, และน่าที่จะมี “ป้อมปราการแห่งอเมริกา” ด้วย อยู่ในฝ่ายของเขา “กลุ่มประเทศโลกตะวันตก” (Global West) นี้ ก็อาจจะสามารถคุ้มภัยป้องกันสหรัฐฯจากผลพวงต่อเนื่องบางอย่างบางประการได้

ดังนั้น ความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ของการที่ อียู ยอมสยบนบนอบตัวเองให้กลายเป็นรัฐบริวารรายใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯได้เคยมีมา จึงอยู่ที่ว่ามันช่วยทำให้สหรัฐฯเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นฟูฐานะความเป็นเจ้าเหนือใครแบบโลกมีเพียงขั้วอำนาจเดียว (unipolar hegemony) เท่านั้นขึ้นมาใหม่ โดยผ่านข้อตกลงการค้าที่ทำได้อย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ ขณะที่วอชิงตันน่าจะทอดสายตาจับจ้องไปที่ทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้เป็นเป้าหมายถัดไป ก่อนที่สุดท้ายจะเข้าจัดการกับเอเชีย

ไม่มีเครื่องรับประกันใดๆ ว่าสหรัฐฯจะประสบความสำเร็จ และในการทำดีลการค้าแบบขาดความสมดุลต่อเนื่องเป็นชุดกับพวกประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่สำคัญๆ ที่ผ่านมา ก็ถือได้ว่าวอชิงตันได้รับผลในการฟื้นฟูโลกที่มีเพียงขั้วเดียวซึ่งนำโดยสหรัฐฯกลับคืนมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ของทรัมป์ก็ยังคงเป็นตัวแทนของภัยอันตรายที่เป็นไปได้ ซึ่งคุกคามความเป็นตายอยู่รอดต่อไปของโลกแบบที่มีหลายขั้วอำนาจ (multipolarity)

แอนดรูว์ โคริบโค เป็นนักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงมอสโก เขามีความชำนาญพิเศษในเรื่องการเปลี่ยนผ่านของระบบโลก ซึ่งเข้าสู่ระบบที่มีหลายขั้วอำนาจ

ข้อเขียนชิ้นนี้ปรากฏทีแรกสุดบนแพลตฟอร์ม Substack ของ Andrew Korybko

เชิงอรรถ
[1] https://substack.com/redirect/c5371744-dd39-4aa3-9baa-62ab0fbe52a3?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[2] https://substack.com/redirect/0bf7a3eb-cfed-4aec-9ed1-297efa0d41e9?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[3] https://substack.com/redirect/9872494f-967c-498f-950a-56b629e8adf9?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[4] https://substack.com/redirect/3c55c36c-51fa-4d6d-a8c0-271d521547bd?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[5] https://substack.com/redirect/975ae9cd-7427-485d-832f-4c98b1d9a006?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[6] https://substack.com/redirect/1fee8c37-9124-4920-88e3-a74857fda465?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[7] https://substack.com/redirect/5bd2bb77-b03a-4b60-8234-873f8abf1ab0?j=eyJ1IjoiN25tMiJ9.ArAjoe3w0B9T_qIn_sADWsrqWSMS2r8ZypYyWEAFxWc
[8] https://korybko.substack.com/p/the-sino-indo-rivalry-will-shape?utm_source=substack&utm_medium=email
กำลังโหลดความคิดเห็น