ดูเหมือนว่า...ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” กำลังสนุกสนานเอามากๆ หรืออันที่จริงต้องเรียกว่ากำลัง “บ้า” แบบกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี กับการควัก “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” หรือควักมาตรการภาษีศุลกากรออกมาเล่นงานใครต่อใครทั่วทั้งโลก ระดับ90-180 กว่าประเทศเอาเลยถึงขั้นนั้นที่ต้องเจอภาษีอเมริกันตั้งแต่ระดับ10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไปถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์ หรือเผลอๆ อาจบ้าไปถึงขั้น100 เปอร์เซ็นต์500 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะสำหรับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน ที่ผู้นำอเมริกาถึงกับขู่คำรามไว้กับบรรดาผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (6 ส.ค.) ว่า...“คุณจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้...สำหรับ Secondary Sanctions”หรือการเล่นงานใครก็ตามที่ยังคิดค้าๆ-ขายๆ กับหมีขาวรัสเซีย อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง!!!
ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงต้องขออนุญาตลองไปทบทวน หวนคิดถึงอาวุธชิ้นสุดท้ายของอเมริกา นั่นก็คือมาตรการทางภาษีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ความเห็นแก่ตัว”หรือเห็นแก่ประโยชน์อเมริกาว่าต้อง “มาก่อน” หรือต้อง “America First”ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ว่าเอาไป-เอามาแล้ว...การอาศัย “ศักยภาพแห่งการบริโภค” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่ทำให้อเมริกากลายเป็น “ตลาด” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มาใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่ กดดัน บีบบังคับ ใครต่อใคร ให้ต้องหันมา “Kiss Ass” ตัวเอง ต้องยอมจ่ายภาษีเพิ่ม ยอมเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกาแบบชนิดเหลือภาษีเท่ากับศูนย์ หรือกระทั่งยอมปรับสถานภาพไปเป็นพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ สุดท้ายแล้ว...มันจะสามารถทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่แบบ “America Great Again”หรือจะออกไปทาง “America Dead Again” กันแน่!!!
คืออันที่จริงแล้ว...ก็ไม่ใช่แต่เฉพาะ “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น ที่คิดจะ “บ้า”ในลักษณะเช่นนี้เป็นรายแรก เพราะถ้าลองย้อนประวัติศาสตร์อเมริกา กลับไปในช่วงประมาณปี ค.ศ.1930 หรือช่วงหลังจากที่โลกทั้งโลกต้องเจอ “อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจ”ครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า “The Great Depression” นับแต่ช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ.1929 ครั้งนั้น...ก็เคยส่งผลให้นักการเมืองอเมริกัน คิดแบบเดียวกับ “ทรัมป์บ้า”ช่วงนี้นี่แหละ คือคิดจะ “American First”หรือคิดจะเอาแต่ “ตัวกู-ของกู”
เข้าไว้ก่อน ส่งผลให้วุฒิสมาชิกอเมริกันแห่งรัฐยูทาห์ “นายReed Smoot”และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งรัฐโอเรกอน “นายWillis C. Hawley”ที่มีฐานะเป็นคณะกรรมาธิการการคลัง หันไปงัดเอามาตรการภาษีศุลกากรนี่แหละ เป็นเครื่องมือในการ “ปกป้อง-กีดกันทางการค้า” ต่อประเทศต่างๆ ด้วยการออกกฎหมายที่เรียกกันว่า “Smoot-Hawley Tariff Act”โดยมีประธานาธิบดีอเมริกัน “นายHerbert Hoover”เห็นดี-เห็นงาม หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัวตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
แม้ว่าบรรดานักเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ ชาวอเมริกันนับพันๆ ราย จะลงชื่อ เข้าชื่อ ส่งจดหมายให้ประธานาธิบดีว่าอย่าได้คิดบ้าๆทำนองนี้ แม้แต่นักธุรกิจรายสำคัญอย่าง “นายHenry Ford”ยังถึงกับเรียกขานการ “เอาตัวรอด” ลักษณะเช่นนี้ว่า ออกจะเป็นอะไรที่โง่ หรือเป็น “An Economic Stupidity”ก็ตามที แต่สุดท้าย...ด้วยความเป็น “American First”หรือ “อเมริกา...ต้องมาก่อน” นั่นเอง การไล่ทุบ ไล่บี้ ขึ้นภาษีสินค้าที่เข้าไปยังอเมริกาไม่ต่ำกว่า 20,000 รายการ เพื่อหวังจะช่วยส่งเสริมธุรกิจ การจ้างงานภายในประเทศ จึงเป็นไปในแบบเดียวกับที่ “ทรัมป์บ้า” กำลังหยิบมาเล่นงานใครต่อใครอยู่ในช่วงระหว่างนี้...
โดยแรกๆ...ทุกอย่างก็ดูจะสวยสดงดงาม น่าซี๊ดซ๊าด ซู๊ดซ๊าด เหมือนที่ทำให้ผู้นำอเมริกาเกิดอารมณ์สนุกสนาน หรือเกิดความบ้าในทุกวันนี้นั่นแหละ หรือดังที่นักวิชาการมหาวิทยาลัย “Hofstra University” ถึงกับออกมาเชียร์ออกมาเลียร์ชนิดขนติดปากว่าไม่ว่าอัตราเงินเดือนพนักงานโรงงาน สัญญาการก่อสร้าง ตลอดไปจนผลผลิตด้านอุตสาหกรรม ฯลฯ ต่างพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ แบบดีวัน-ดีคืน แต่ครั้นเมื่อเจอแรงโต้ของประเทศอื่นๆ ต่อสินค้าอเมริกันแบบชนิดดอก-ต่อ-ดอก เจอ “ผลกระทบ” ที่แผ่ซ่านไปทั่วระบบการค้าโลก เศรษฐกิจอเมริกาก็ค่อยๆ ดิ่งลงสู่ปากเหว แบบหาบันไดไต่กลับแทบไม่เจอ นับแต่ปี ค.ศ.1931 เป็นต้นมา สินค้าเข้าอเมริกาที่เคยมีมูลค่าประมาณ 4,400 ล้านดอลาร์ ช่วงปี ค.ศ.1929 หรือช่วงก่อนออกมาตรการดังกล่าวลดวูบลงเหลือแค่1,500 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1933 หรือลดลง66 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ปริมาณสินค้าส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ ลดลง61 เปอร์เซ็นต์ “GDP” ของประเทศที่เคยอยู่ที่103.1 พันล้านในปี ค.ศ.1929 เกิดอาการหัวทิ่มขี้ ลดเหลือแค่75.8 พันล้านในปี ค.ศ.1931 และปี ค.ศ.1933 ก็ยังคงกินน้ำขี้ลุกขึ้นไม่ไหว หรือเหลือแค่ 55.6 พันล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้คำว่า “Smoot-Hawley” ได้กลายเป็นคำศัพท์ คำนิยาม ถึง “ความโง่” ในทางเศรษฐศาสตร์ หรือในหมู่ชาวอเมริกันโดยทั่วไป แต่อาจเพราะมันเกือบจะร้อยปีมาแล้ว ใครต่อใครเลยอาจลืมๆไปแล้ว ว่ามาตรการทางภาษีของ “ทรัมป์บ้า”ก็แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “Smoot-Hawley Tariff Act” นั่นเอง ดังนั้น...แม้ว่าช่วงพฤหัสฯ ที่แล้ว (7 ส.ค.) ผู้นำอเมริกาจะแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ด้วยการออกมาโพสต์ไว้ใน “Truth Social” ถึงขั้นว่า...“ภาษีเอาคืน(reciprocal tariffs) ได้สำแดงเดชออกมาแล้ว...นับจากเที่ยงคืนวันนี้ เงินนับพันล้านล้านดอลลาร์ที่เคยถูกประเทศต่างๆ เอาเปรียบเรา กำลังลอยละลิ่วกลับคืนมาสู่อเมริกา” แต่ก็นั่นแหละ...คงอีกไม่นานไม่ช้านับจากนี้ สิ่งที่เป็น “ความบ้า”หรือ “ความโง่” ในลักษณะเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นไปในแบบเดียวกัน หรือไม่ต่างอะไรไปจากผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นกับ “Smoot-Hawley Tariff Act” เมื่อปี ค.ศ.1930 นั่นเอง...
เพราะแม้ว่าเงินภาษีจะกี่พันกี่หมื่นล้านดอลลาร์ลอยละลิ่วกลับมายังอเมริกาหรือไม่? เพียงใด? ก็เถอะ แต่บรรดา “ผู้บริโภค”อันได้แก่อเมริกันชนทั้งหลาย ต่างหนีไม่พ้นต้อง “ควักกระเป๋า” ตัวเอง จ่ายค่าสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าตั้งแต่ของเด็กเล่น ไปยันเสื้อผ้า รองเท้า อาหาร รถยนต์ ไปถึงบ้านช่อง ฯลฯ ชนิดแม้แค่เพียงเริ่มๆ ผลสำรวจของ “Budget Lab at Yale University”ยังต้องสรุปว่า ภาระค่าใช้จ่ายของบรรดาอเมริกันชนกำลังเพิ่มขึ้นๆ ไม่น้อยกว่าครอบครัวละ2,400 ดอลลาร์ หรือรายละเกือบ70,000-80,000 บาทเอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างไปจากตัวเลขจ้างงานของ “US Bureau of Labor Statistic”หรือ “BLS” ที่สรุปเอาไว้ในช่วงวันที่1 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าเริ่มแสดงอาการ “ชะลอตัว” อย่างเห็นได้ชัด แต่แทนที่ตัวเลขดังกล่าว จะช่วยให้ “ทรัมป์บ้า” ได้ “สติ”ประธานาธิบดีอเมริกันกลับหันไปเล่นงานผู้อำนวยการ “BLS”คือคุณ “Erika McEntarfer”ด้วยการ “ไล่ออก” เอาดื้อๆ!!! นี่...ไม่ใช่แค่บ้า-แค่โง่ ยังแถมดื้อ แถมขี้ฉุน ขี้โกรธ ซะอีกต่างหาก...
แต่สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว น่าทุเรศ ยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือด้วย “ความเห็นแก่ตัว”เห็นแก่“ตัวกู-ของกู”เป็นสำคัญนี่เองที่ทำให้ความพยายามปกป้อง-กีดกันทางการค้า ด้วยมาตรการภาษี “Smoot-Hawley” ของอเมริกาเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว สุดท้าย...เลยหนีไม่พ้นต้องนำไปสู่ฉากสถานการณ์ “สงครามโลกครั้งที่2” ในปี ค.ศ.1939 จนได้!!! อันเนื่องมาจากความเจ็บปวดรวดร้าว ที่แต่ละประเทศต่างต้องแบกรับกันโดยถ้วนหน้า ต่างต้องได้รับ “ผลกระทบ” จากการปกป้อง-กีดกันทางการค้า ไม่ว่ามากหรือน้อยไปตามสภาพ หรือต่างก็กลายเป็น “ผู้แพ้” ไปด้วยกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อการค้าๆ-ขายๆ มันไม่ได้เป็นไปตาม “อุปสงค์-อุปทาน” อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เป็นไปเพื่อความได้เปรียบ-เสียเปรียบของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด จนทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทั้งโลก หรือกลายเป็น “ตัวเร่ง”ให้บรรดา “สงครามการค้า”ทั้งหลาย ย่อมหนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “สงครามเลือด”ในทุกๆ ครั้ง อย่างที่อดีตนักสังคมนิยมอเมริกันเคย “ฟันธง” เอาไว้แล้วนั่นเอง...
ยิ่งเมื่อบรรดาผู้ที่ถูกไล่เช็ดไล่บี้ ไล่กระทืบด้วยการใช้ “ภาษีเป็นอาวุธ”อยู่ในช่วงระหว่างนี้ ล้วนแต่เป็นประเทศบิ๊กๆ หรือจัดอยู่ในประเภท “มหาอำนาจ” ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่รู้จักกันในนามกลุ่ม “BRICS”ไล่มาตั้งแต่จีน-อินเดีย-รัสเซีย-บราซิลไปจนแอฟริกาใต้ ต่างถูก “ทรัมป์บ้า”หมายหัว-เล่นงาน แบบ “กะจะเอาให้ตาย” ไปด้วยกันทั้งนั้น การเดินทางไปเยือนประเทศจีนครั้งแรกในรอบ7 ปี ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย “นายNarendra Modi”ในอีกไม่นานนับจากนี้ การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอินเดีย “นายAjit Doval”กับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” เมื่อไม่กี่วันมานี้ รวมไปถึงการเสนอของผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva”ให้เร่งประชุมปรึกษาหารือในกลุ่มประเทศ “BRICS” เพื่อรับมือกับภาษีอเมริกาโดยเร็วที่สุด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ส่งสัญญาณ”ว่าการ “ปะ-ฉะ-ดะ”ระหว่าง “โลกเหนือ”กับ “โลกใต้”หรือระหว่าง “โลกขั้วอำนาจเดียว” กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ”กำลังใกล้เข้ามาทุกที!!! ส่วนจะนำไปสู่ฉากสถานการณ์แบบที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่3” ชนิดเต็มรูปเต็มแบบหรือไม่? เพียงใด? อันนี้...คงต้องไปคิดๆ นึกๆ กันเอาเอง...