ชายคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ระหว่างการชุมนุมประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเมืองเอกของรัฐยูทาห์ จากการเปิดเผยของตำรวจในรัฐทางตะวันตกของอเมริกาแห่งนี้เมื่อวันอาทิตย์(15มิ.ย.) เหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้นท่ามการความแตกแยกทางการเมืองอย่างหนักในสหรัฐฯ
กรมตำรวจของเมืองซอลต์เลกซิตี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่า อาร์เทอร์ โฟลาซา อาห์ ลู วัย 39 ปี ถูกยิง ณ เวทีชุมนุม "No Kings" ในซอลต์เลกซิตี ในวันอาทิตย์(15มิ.ย.) หนึ่งในการประท้วงที่จัดขึ้นหลายร้อยจุดทั่วประเทศ หลังจากชายวัย 24 ปีรายหนึ่งกวัดแกว่งปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ AR-15 ในเวทีชุมนุม
ระหว่างนั้นมีบุคคลที่ 3 ยิงเข้าใส่มือปืน 3 นัด แต่หนึ่งในนั้นพุ่งโดน อาห์ ลู ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
ถ้อยแถลงของตำรวจระบุต่อว่าชายวัย 24ปีที่ถือปืนไรเฟิล มีชื่อว่านายอาร์ตูโร แกมเบา ซึ่งถูกจับกุมแล้วและถูกพาตัวเข้าห้องขังตามข้อกล่าวหาฆาตกรรม อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงการแจ้งข้อหาในเบื้องต้น และจำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากอัยการเสียก่อน
Gunshots ring out at Salt Lake City, Utah's planned "No Kings" riot just now. An insurrectionist rebel lies face-down on the ground after three reports echo through the evening. Police attempt without success to resuscitate the member of the foreign invading army. pic.twitter.com/ly924Ss2Cw
— Alan Bings (@AlanBings) June 15, 2025
ไบรอัน เรดด์ ผู้บัญชาการตำรวจซอลต์เลกซิตี เผยระหว่างแถลงข่าวในวันอาทิตย์(15มิ.ย.) ยอมรับว่า แกมเบา ไม่ได้ลั่นไกออกมาแต่อย่างใด ส่วนชายที่ยิงเข้าใส่ แกมเบา นั้น สวมเสื้อกั๊กที่สามารถมองเห็นได้ชัด ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายจัดการชุมนุม ทั้งนี้เขาไม่ถูกตั้งข้อหาและได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี
ผู้บัญชาการตำรวจซอลต์เลกซิตี ระบุว่าแกมเบา ไม่มีประวัติทางอาญาใดๆ และทีมสืบสวนยังคงในขั้นต้นของการสืบสวนความเป็นไปได้ในแรงจูงใจของเขา
สหรัฐฯตกอยู่ท่ามกลางการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว
เหตุยิงกัน ณ ที่ประท้วงในวันอาทิตย์(15มิ.ย.) ก่อความตื่นตระหนกไปทั่วฝูงชนในซอลต์เลกซิตี เนื่องจากมันเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรมินนิโซตารายหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านพักของเธอ และเชื่อว่าปฏิบัติการลอบสังหารครั้งนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง
(ที่มา:เอเอฟพี)