xs
xsm
sm
md
lg

อินเดียและบราซิลไม่ยอมจำนน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร



อินเดียถูกเคาะกำแพงภาษีทรัมป์ที่ 25% ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยนับเป็นอัตรากำแพงภาษีที่สูงสุดในเอเชียใต้ ซึ่งจะทำให้อินเดียเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ถ้าเป็นสินค้าประเภทที่แข่งกันอยู่ 

ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเดียวกับอินเดียได้อัตราภาษีเข้าสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคือ ปากีสถานได้แค่ 19%, ศรีลังกาที่ 20%บังกลาเทศได้ที่ 20%

ปากีสถานนั้น ลงทุนถึงขนาดทำจดหมายเปิดผนึกเป็นแถลงการณ์ชื่นชมบทบาทของทรัมป์ในการทำให้เกิดการหยุดยิงในการถล่มกันยับ (ด้วยขีปนาวุธและเครื่องบินเจ็ตพิฆาต) เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว-ด้วยสาเหตุการครอบครองแคชเมียร์

ขณะที่นายกฯ โมดีของอินเดียแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐฯ (โดยปธน.ทรัมป์) ไปอ้างว่า เป็นเพราะฝีมือการห้ามทัพของทรัมป์ จึงมีการหยุดยิง ซึ่งทรัมป์คงหวังเคลมผลงานนี้เพื่อได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพนั่นเอง

นายกฯ โมดี สรุปอย่างหนักแน่นว่า การหยุดยิงเกิดจากการเสนอจากฝ่ายปากีสถานก่อนเพราะเล็งเห็นแสนยานุภาพเกรียงไกรของอินเดีย ที่มีกองกำลังที่เข้มแข็งกว่ามาก โดยเฉพาะอินเดียเป็นเศรษฐกิจที่โตเร็วมาก จนขณะนี้ได้แซงหน้าอดีตเจ้าอาณานิคมของตน (คือสหราชอาณาจักรอังกฤษ) มาอยู่ลำดับที่ 5 เรียบร้อยแล้ว (โดยอังกฤษกระเด็นไปอยู่ลำดับที่ 6)

แต่สำหรับปธน.ทรัมป์ เขารีบประกาศใน Truth Social ทันทีว่า เขาได้พูดโทรศัพท์กับผู้นำของอินเดียและปากีสถาน โดยใช้กำแพงภาษีเป็นแรงกดดัน (ขณะที่ทรัมป์ยังไม่ได้เคาะอัตราก่อน 9 กรกฎาคม) ซึ่งขณะนั้น ทรัมป์ได้ขู่กรรโชกทุกประเทศว่า กำหนดอัตราภาษี ณ 1 สิงหาคม จะเด้งกลับไปอยู่อัตราที่สูงมาก-บางทีสูงกว่าอัตราที่เขาได้ประกาศในวันประกาศอิสรภาพเมื่อ 2 เมษายนด้วยซ้ำ-ซึ่งทำให้ทั้งสองประเทศคือ ทั้งอินเดียและปากีสถานที่กำลังดำเนินการส่งคณะเจรจามาพบกับทีมเจรจาของทรัมป์-เกิดอาการตกใจกลัวว่า ณ วันที่ 1 สิงหาคม อัตราภาษีของประเทศตนจะสูงลิ่ว ถ้าไม่ยอมหยุดยิง

ในช่วงท้ายๆ ของการเจรจาต่อรองภาษีระหว่างทีมของทรัมป์และทีมของโมดี ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม มีแรงกดดันจากปธน.ทรัมป์ว่า อินเดียดื้อรั้นมากในการเปิดตลาด (จนล่อนจ้อนแบบที่เวียดนามยอมให้สหรัฐฯ หรืออินโดนีเซียที่ยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เกือบ 100%) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของอินเดีย ด้านนมและผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด และพืชจีเอ็มโอห้ามเข้าเด็ดขาด; ยังมีข้าวที่อินเดียยืนยันว่า จะต้องปกป้องเกษตรกรของอินเดียเพื่อให้อยู่รอด-ไม่ยอมเปิดตลาดให้ข้าวสหรัฐฯ เข้ามาขาย-ตรงข้ามกับญี่ปุ่นที่จำใจต้องกล้ำกลืนเปิดตลาดข้าวของสหรัฐฯ ให้เข้ามาขายได้ด้วยการจำกัดโควตาเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยเปิดเอาไว้ก่อนหน้านี้

ด้านพลังงานน้ำมันและแก๊สก็เป็นประเด็นที่อินเดียไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว นั่นคือ ทรัมป์กดดันอย่างเปิดเผยว่าอินเดียซื้อพลังงานจากรัสเซียเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งรายได้จากพลังงานนี้แหละ ทำให้รัสเซียไม่ยอมหยุดยิงกับยูเครน เพราะรายได้หลักของรัสเซียมาจากการขายพลังงาน และอินเดียต้องยอมรับว่า การที่อินเดียยังจ่ายเงินซื้อจากรัสเซีย ก็คืออินเดียมีมือเปื้อนเลือดในการสนับสนุนรัสเซียเข่นฆ่าชาวยูเครน และรุกรานอธิปไตยของยูเครน

ยิ่งกว่านั้น อินเดียยังได้กำไรมหาศาลโดยซื้อน้ำมันดิบและก๊าซจากรัสเซีย แล้วนำมากลั่นเพื่อไปขายต่อให้แก่ประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป (ที่ถูกบังคับจากสหรัฐฯ และนาโตให้คว่ำบาตร-ห้ามซื้อพลังงานจากรัสเซีย-ในสมัยของไบเดน และต่อมายังดำรงกฎข้อห้ามนี้อยู่) ซึ่งอินเดียได้กำไรมหาศาลที่นำพลังงานไปขายต่อ โดยรัสเซียยังรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้และยังโจมตียูเครนอย่างหนัก เพราะรายได้จากการขายพลังงานนี้ให้อินเดียนั่นเอง

ที่ทรัมป์ไม่ได้แจกแจงให้ชาวโลกได้ทราบและที่เขาไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือ อินเดียจ่ายค่าน้ำมันและแก๊สให้แก่รัสเซีย ด้วยสกุลเงินรูปี (ของอินเดีย) และรูเบิล (ของรัสเซีย)...โดยไม่ใช้เงินดอลลาร์ทั้งสิ้น-ก็เป็นการละทิ้งสกุลดอลลาร์อย่างไม่ยี่หระต่อคำขู่ของทรัมป์ว่า กลุ่มประเทศใด (เช่น BRICS ที่อินเดียและรัสเซียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง) ที่ละทิ้งดอลลาร์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดโลก จะต้องถูกลงโทษ (Penalty) จากทรัมป์ โดยสหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีสูงลิ่วสำหรับประเทศเหล่านั้น ที่จะโดนคิดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 200% ทีเดียว!!!

และทรัมป์ได้ออกคำสั่งปธน.เมื่อเร็วๆ นี้ให้เวลา (สุดท้ายของสุดท้าย) แก่รัสเซีย ที่จะต้องทำสัญญาหยุดยิงในยูเครนภายในเวลา 50 วัน; และต่อมาได้ร่นลงเหลือแค่ 10-12 วัน ซึ่งจะตกที่วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม (กรณีครบ 10 วัน) โดยถ้ารัสเซียยังไม่ยอมลงนามหยุดยิงชั่วคราว-รัสเซียจะถูกลงโทษเพิ่มอีก สำหรับการลักลอบขายน้ำมันรัสเซียในทะเลหลวง-ซึ่งอินเดียจะโดนลงโทษด้วยภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 100% (เดิมว่าจะสูงถึง 200% หรือ 500% ทีเดียว) ซึ่งเป็นการลงโทษด้วยกำแพงภาษีเพิ่มเติม (Secondary Tariffs)

ดังนั้น ที่ทรัมป์เคาะให้อินเดียที่ 25% นั้น จะต้องบวก Secondary Tariffs อีก 100%-รวมเป็น 125% สำหรับสินค้าอินเดียที่จะนำเข้าที่สหรัฐฯ

สำหรับไอโฟนของแอปเปิลที่นายทิม คุก รีบตาลีตาลานนำชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีนขึ้นเครื่องบินมาหนักถึง 600 ตัน เพื่อรีบหนีมาประกอบที่อินเดีย (ก่อนการประกาศอิสรภาพเมื่อ 2 เมษายน)...ไอโฟนที่มาประกอบที่อินเดียนี้ เมื่อนำเข้าสหรัฐฯ แล้วจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าถึง 25%...และอาจโดนเพิ่มภาษีอีก 40% เป็นการลงโทษที่หลบเลี่ยงอัตราภาษีที่นำเข้าตรงจากจีนอีก (ที่เรียกว่า Trans-Shipment)

อินเดียออกมาฟ้องทั้งโลกว่า สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำกับอินเดีย โดยลงโทษที่อินเดียยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย เป็นการไม่สมเหตุสมผล (Unjustified และ Unreasonable) เพราะอินเดียยังมีรายได้ต่อหัวต่อคนอยู่ในระดับที่ยากจนมาก จึงต้องการพลังงานราคาถูก เพื่อความอยู่รอดของพลเมือง และการซื้อน้ำมัน (ราคาถูก) จากรัสเซีย ไม่ใช่มาจากสาเหตุทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่เป็นเพราะความยากจนของประชาชน นับเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด-อินเดียจึงจะเดินหน้าซื้อพลังงานราคาถูกจากรัสเซียต่อไป

ขณะที่บราซิลก็ถูกเคาะที่ 50% ที่เป็นอัตราสูงสุดสำหรับสินค้าบราซิลที่นำเข้าสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่บราซิลขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่ถูกลงโทษจากทรัมป์เพราะฝ่ายบริหารของบราซิลก้าวก่ายอำนาจตุลาการ โดยดำเนินการลงโทษอดีตปธน.โบลโซนาโร ที่แพ้การเลือกตั้งต่อปธน.ลูลา แล้วนำประชาชนบุกสภาฯ ต่อต้านผลการเลือกตั้ง

ราคากาแฟที่สหรัฐฯ ต้องแพงขึ้นแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ส่งมาจากบราซิล และจะทำให้ผู้ดื่มกาแพในสหรัฐฯ ต้องลดจำนวนการบริโภคกาแฟเพราะราคาแพงขึ้นมาก

ล่าสุด ทางการจีนประกาศจะเพิ่มการนำเข้ากาแฟจากบราซิลมหาศาล ทำให้บราซิลมีคู่ค้าใหม่ทันที ไม่ง้อตลาดสหรัฐฯ!!


กำลังโหลดความคิดเห็น