เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตย้อนกลับไปดู “แนวรบยุโรปตะวันออก”กันอีกเที่ยว เพราะไม่เพียงแต่ถือเป็นภาพสะท้อนความเป็นไปของแนวรบด้านอื่นๆ ไม่ว่า “ตะวันออกกลาง”และ “ทะเลจีนใต้” ได้อย่างเป็นดี แต่ยังอาจถือเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงอนาคตของโลกทั้งโลกอีกด้วยก็ยังได้ว่าจะเดินหน้าไปสู่ความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”โดยไม่ถึงกับมีอุปสรรคขัดขวางมากมายสักเท่าไหร่ หรือจะต้องย้อนกลับไปสู่ความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว”ด้วยการหันไป “Kiss Ass” คุณพ่ออเมริกา แบบชนิดต้องปากเปรอะ หรือลิ้นสึกกันไปเป็นแถบๆ...
คือถ้าลองตรวจสอบจากความคิด-ความเห็นของนักคิด-นักวิชาการรัสเซียอย่าง “ศาสตราจารย์Dmitry Trenin”นักวิจัยของ
“Higher School of Economics”และยังเป็นสมาชิกสภากิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซีย หรือ “RIAC” (Russian International Affairs Council) อีกด้วย ที่ได้ไล่เรียงความคิด ความเห็น เอาไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “The West’s war on Russia will go beyond Ukraine” หรือสงครามระหว่าง “ตะวันตก-กับ-รัสเซีย”
มันคงไม่ได้หยุดอยู่แค่การสู้กับ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนเท่านั้น แต่มันน่าจะไปไกลยิ่งไปกว่านั้น หรือสุดท้าย...คงหนีไม่พ้นต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ”ต้องวัดตัดสินกันด้วย “สงครามครั้งสุดท้าย” เอาเลยก็เป็นได้!!!...
และความหมายของคำว่า “ตะวันตก” ในที่นี้...ก็คงไม่ได้หมายถึงแค่บรรดาชาติยุโรปอย่างพวกอียู-อีย้วยทั้งหลาย แต่ยังหมายรวมไปถึงคุณพ่ออเมริกาที่เป็นผู้ควบคุม บังคับองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO”จนทำให้บรรดาชาติยุโรปในแต่ละราย
ต้องกลายเป็น “พรมเช็ดเท้าอเมริกา” มาโดยตลอด เพราะแม้ว่า “ทรัมป์บ้า”จะหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริการอบใหม่ แต่นั่นก็ดูจะไม่ได้ทำให้ฉากสถานการณ์ใน “แนวรบ” ด้านนี้ผิดแผกแตกต่างไปจากยุคอดีตประธานาธิบดีคนก่อนแต่อย่างใด แม้ “ทรัมป์บ้า”จะเคยออกอาการจี๋ๆจ๋าๆ กับรัสเซีย หรือเคยคิด “ยุติสงครามยูเครน” ให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากขึ้นมามีอำนาจ แต่สุดท้าย...สิ่งที่ทำให้ “เป๊ปซี่” แตกต่างไปจาก “โคคา-โคล่า”หรือ “ทรัมป์บ้า”แตกต่างไปจาก “โจ ซึมเซา” ก็คงเป็นแค่ชื่อ แค่ยี่ห้อ อะไรประมาณนั้น เพราะไม่ว่า “ทรัมป์”หรือ “โจ” ก็ล้วนแล้วแต่น่าจะเป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่...นั่นแล...
จากข้อเขียนบทความ ดังกล่าว...ดูๆ แล้วนักคิด-นักวิชาการรัสเซียรายนี้ ท่านไม่ได้คิดจะมองผู้นำอเมริกันในแง่ร้าย แต่พยายามมองใน “แง่ที่เป็นจริง”นั่นแหละมากกว่า ดังนั้น...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า”พยายามแสดงตัวเป็น “นักสันติภาพ” ด้วยการคะยั้นคะยอให้ผู้นำรัสเซียเร่งประนีประนอมยอมความกับยูเครนใน “โต๊ะเจรจา” ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ จนบางครั้ง-บางคราถึงกับ “หลุดปากด่า” ประธานาธิบดี “ปูติน”เอาดื้อๆ ไปจนเกิดข่าวลือว่าถึงขั้นคิดจะเอาระเบิดมาหย่อนใส่หัวถึงกรุงมอสโกเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่สิ่งเหล่านี้...ก็ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะแก้ไข “รากเหง้าแห่งปัญหา” อันเป็นสิ่งที่ผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”เคยพูดถึง หรือเป็นสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียเรียกร้องและต้องการมาโดยตลอด เอาเลยแม้แต่น้อย...นั่นก็คือ...การแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลตะวันตก หรือ “NATO”ที่เรียกๆ ว่านโยบาย “Enlargement” เข้ามาจ่อหน้าปากประตูบ้านของรัสเซียเพื่อสร้างแรงกดดันและบีบบังคับให้รัสเซียต้องเป็นไปในแนวที่ “ตะวันตก”ต้องการเป็น “เสรีนิยมแบบขี้ข้า” หรือเป็น “ประชาธิปไตยแบบทาส” ตามมาตรฐานตะวันตก อะไรทำนองนั้น ไม่ต่างไปจากที่พยายามทำให้คุณพี่จีน “เลิกเป็นคอมมิวนิสต์”หันมาเป็นประชาธิปไตยแบบยุโรป-อเมริกา โดยไม่ได้คิดสนใจต่อประวัติศาสตร์ ต่ออารยธรรม ที่สะสมต่อเนื่องมานับพันๆ ปีเอาเลยแม้แต่น้อย...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ความพยายามเคี่ยวเข็ญให้เกิด “สันติภาพ”ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มันเลยเป็นแค่ “กลยุทธ์”หรือ “ยุทธวิธี” ของฝ่ายตะวันตก ในสายตาของ “ศาสตราจารย์Dmitry Trenin” ในขณะที่ “ทรัมป์บ้า” ก็ยังคงไม่คิดจะเลิกส่งอาวุธให้กับยูเครนตามข้อตกลงที่เคยทำเอาไว้ในยุคประธานาธิบดีคนก่อน เผลอๆ...อาจคิดเสริมเพิ่มเติมเขี้ยวเล็บให้กับ “ตัวตลก-ตัวแทน”ยิ่งไปกว่านั้นเอาเลยก็เป็นได้ เช่นด้วยการ “ขายอาวุธ” ให้ประเทศยุโรปตะวันตกอย่างเช่น เยอรมนี เพื่อนำไปส่งมอบให้ยูเครนอีกต่อหนึ่ง รวมทั้งยังคงเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ เครื่องมืออำนวยความสะดวกชนิดต่างๆ ไม่ว่าข้อมูล ข่าวกรอง สัญญาณดาวเทียมให้กับยูเครนเพื่อโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ฯลฯ ขณะที่หันมาเร่งเร้าให้รัสเซียรีบๆ สร้าง “สันติภาพ”ให้เป็นไปตามแบบที่ “ทรัมป์บ้า”ต้องการให้จงได้!!!...
นี่...อันนี้นี่เองที่ทำให้นักคิด-นักวิชาการชาวรัสเซียรายนี้ ท่านเลยหนีไม่พ้นต้อง “ฟันธง” ไว้ว่า...สงครามครั้งนี้คงจะยาวนาน
หรือไม่จบภายในปี ค.ศ.2025 อยู่แล้วแน่ๆ และ “สำหรับอเมริกาแล้ว...ไม่ว่าจะมีทรัมป์-หรือไม่มีทรัมป์ก็ยังคงเป็นปรปักษ์ต่อเรา(รัสเซีย)ทั้งหลาย” หรือเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ต้องการธำรงรักษาการ “ครอบงำโลกทั้งโลก” ให้ยังคงดำเนินต่อเนื่องสืบไป กับประเทศรัสเซียที่กำลังพยายามปกป้องตัวเองและสิทธิอำนาจอธิปไตย ให้ดำรงคงอยู่ต่อไปอีกตราบนานเท่านาน โดยใครแพ้-ใครชนะ ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ คงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน...
แต่ก็อย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...ไม่ว่าในแง่พลังอำนาจทางทหาร หรืออาวุธอีกชนิดหนึ่งที่ทรงพลังไม่แพ้กองทัพ นั่นก็คือ “เงินดอลลาร์อเมริกัน”ที่เป็นตัวการสำคัญในการ “ครอบงำโลกทั้งโลก” ของคุณพ่ออเมริกา แต่เมื่อมาถึงทุกวันนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ออกจะเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ลงไปทุกที แม้ว่าผู้ที่ต้องการให้ “America Great Again”อย่าง “ทรัมป์บ้า” จะพยายามอัดฉีด ทุ่มเทเงินทองมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ให้กับงบประมาณทางทหาร แต่อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ นักวิจารณ์การทหารชาวบัลแกเรีย “นายBoyko Nikolov” แห่งหนังสือพิมพ์ “South China Morning Post” เขาเคยไล่เรียงรายละเอียดตื้น-ลึก-หนา-บาง ถึงความเสื่อมโทรมถึงขั้นใกล้ๆ “พังทลาย”ของ “อุตสาหกรรมอาวุธ” ในโลกตะวันตก ไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อเร็วๆ นี้ อันสะท้อนให้เห็นจากอาการสะดุดหยุดยั้ง หัวทิ่ม-หัวตำ ในการจัดหาอาวุธสำคัญๆ ให้กับประเทศยูเครนไว้สู้กับรัสเซีย ว่าไม่เพียงแต่เพราะการขาดแคลนแรงงาน ความล้าหลังด้านเครื่องมือ-อุปกรณ์การผลิต แต่ยังรวมไปถึงการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับบรรดาอาวุธสมัยใหม่ ประเภทจรวด หรืออาวุธอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ที่ต้องอาศัย “แร่หายาก”(Rare-Earth) จากธุรกิจห่วงโซ่อุปทานเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างมิอาจปฏิเสธได้!!!
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ผู้ที่มีขีดความสามารถในการสกัดแร่ชนิดนี้ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในตลาด ก็คือคุณพี่จีนพันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดของคุณน้ารัสเซียนั่นเอง แถมถ้าฟังรายงานข่าวของ “The Financial Times” เมื่อวัน-สองวันมานี้ คุณพี่จีนท่านไม่ใช่แค่คิดจะรวบหัว รวบหาง “แร่หายาก” เอาไว้ในมือเท่านั้น แต่ยังกระจายตัวไปครอบครองบรรดา “เหมือง”ต่างๆ ในแต่ละซีกโลกมานานแล้ว ไม่ว่าแหล่ง “Rare-Earth”ในพม่า แทนซาเนีย เหมืองทองในคาซัคสถาน กานา ไอวอรี โคสต์ ฯลฯ
เหมืองทองแดงในแซมเบีย บราซิล จนกลายเป็นผู้ลงทุนในกิจการเหมืองแร่ทั่วโลกสูงสุดเมื่อปีที่แล้วเป็นจำนวนเงินนับแสนๆ ล้านดอลลาร์ ขณะที่ประเทศตะวันตกกลับมีข้อจำกัดในการลงทุนและการสรรหาวัตถุดิบเหล่านี้ จนมิอาจไล่กวด ไล่ทัน คุณพี่จีนเขาได้เลย พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าคุณพี่จีน หรือคุณน้ารัสเซีย ท่านเตรียมตัวมานานแล้ว ในการเผชิญกับฉากสถานการณ์ทำนองนี้
จนทำให้ “โครงการเปลี่ยนโลก”หรือ “Belt and Road” ของจีน มีประเทศกว่า150 ประเทศพร้อมที่จะเข้าร่วมอยู่จนทุกวันนี้...
ไม่ต่างไปจากอาวุธอันทรงพลังอีกชนิดหนึ่งของฝ่ายตะวันตก หรือของคุณพ่ออเมริกานั่นก็คือ “เงินสกุลดอลลาร์”ที่จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกเช่นกันว่า นับวันมีแต่จะทรุดโทรมเสื่อมโทรมไม่ว่าจะเพราะ “ปัญหาหนี้สิน”หรือเพราะการ “ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ”ฯลฯ ก็ตามที อันทำให้ประเทศต่างๆ แทบทั้งโลก ต่างไม่อยากจะ “เสี่ยง”กับการถือครองเงินสกุลนี้เอาไว้ในมือ หรือเอาไว้เป็น “ทุนสำรอง” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ความพยายายามซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกันด้วย “เงินตราสกุลท้องถิ่น”ของแต่ละประเทศ จึงกลายเป็นการ “Anti-America” ไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะโดยเจตนา-หรือไม่เจตนาก็ตาม...
ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่กลายเป็นแค่ “สากกะเบือ”ด้ามเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ในมือของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็คือ “ภาษีศุลกากร”นั่นเอง!!! การประกาศจะขึ้นภาษี 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับประเทศในกลุ่ม “BRICS”ใดๆ ก็ตามที่คิดจะ “Anti-America” ขึ้นภาษีประเทศโน้น ประเทศนี้ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่ทั้งหลายเพื่อให้ต้องคลานมา “Kiss Ass พระจักรพรรดิแห่งโลก” หรือเพื่อให้เอา “ผลประโยชน์”ในแต่ละเรื่อง รวมถึงด้าน “ความมั่นคง”อีกด้วยก็ได้
มาแลกเปลี่ยนกับการดมก้นอเมริกา จึงกลายเป็น “อาวุธ” อันทรงประสิทธิภาพเท่าที่ยังคงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียว นอกนั้น...ล้วนไม่อาจนำมาใช้ข่มขู่ คุกคาม ใครๆ ได้เหมือนอย่างเท่าที่เคยมีมาในอดีต...
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้จะพยายามแปรสภาพ “ภาษี” ให้กลายเป็น “อาวุธ” อีกชนิดหนึ่ง ก็ใช่ว่าใครต่อใครจะต้องหวนกลับไปดมก้นคุณพ่ออเมริกาแบบมิอาจหลีกเลี่ยงได้ การคิดจะขึ้นภาษีกับประเทศใดก็ตามที่ยังคงค้าๆ-ขายๆ กับรัสเซีย ไปถึง500 เปอร์เซ็นต์ ตามการเสนอกฎหมายแซงชั่นครั้งใหม่ของวุฒิสมาชิกสายเหยี่ยวอย่าง “นายLindsey Graham”ที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ทำท่าว่าอยากจะเอาด้วย แต่กลับไม่ได้ก่อให้เกิดอาการสะทกสะท้าน ขวัญเสีย ต่อคุณน้ารัสเซียแม้แต่น้อย เพราะดังที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้อรรถาธิบายไว้ในที่ประชุม “Eurasian Economic Union summit”เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั่นแหละว่า “การแซงชั่นสร้างความเจ็บปวดให้กับประเทศตะวันตกยิ่งกว่ารัสเซีย
และเมื่อใดก็ตามที่เขาเพิ่มการแซงชั่นความเสียหายก็ยิ่งจะเกิดกับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น” หรืออย่างที่รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov”สรุปไว้นั่นแหละว่า...“ปัจจุบันรัสเซียถูกอเมริกาแซงชั่นมากถึง 30,000 รายการอยู่แล้ว และเราบริหารประเทศภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้มาโดยตลอด ซึ่งเราก็คงเดินไปในแนวเดิมๆ บนความเป็นอิสระแห่งอำนาจอธิปไตยและเสถียรภาพของเรา” ไม่ต่างไปจากผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Lula da Silva”ที่ถูกขู่ขึ้นภาษี50 เปอร์เซ็นต์และได้สรุปไว้แบบสั้นๆ-ง่ายๆประมาณว่า... “ถ้าพวกเขาชาร์จเรา50 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะชาร์จเขา50 เปอร์เซ็นต์” หรือแทบไม่มีใครกลัวใครอีกต่อไปแล้วสำหรับ “สงครามภาษี”อันอาจถือเป็นอาวุธชนิดใหม่ของ “ทรัมป์บ้า”...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะ “แนวรบยุโรปตะวันตก-ตะวันออกกลาง-ทะเลจีนใต้” สุดท้าย...อะไรต่อมิอะไรมันคงต้องเป็นไปตามแนวคิดทฤษฎี ที่ “นายGraham T. Allison” ได้สรุปไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั่นแหละว่า... “เมื่อใดก็ตามที่...อำนาจใหม่ๆ ได้เป็นตัวสร้างแรงกดดัน หรือเป็นภัยคุกคามต่อกฎระเบียบที่อำนาจเดิมๆ เคยกำหนดเอาไว้เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องเข้าสู่...ธรรมชาติแห่งความสับสนอลหม่าน ความวุ่นวายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้” หรือเพราะทั้ง “อำนาจใหม่” และ “อำนาจเดิม”ต่างมีอันต้องก้าวเข้าสู่ฉากสถานการณ์ที่เรียกว่า “กับดักทูซิดิเดส”(Thucydides) หรือหนีไม่พ้นต้องวัดตัดสินกันด้วยพลังอำนาจทุกๆ ด้าน แบบที่ชาว “สปาร์ตา” กับ “เอเธนส์” เคยต้องรบกันเป็นร้อยๆ ปีมาแล้วนั่นเอง...