xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (29) เศรษฐกิจเรขาคณิตกับอาหารเป็นพิษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ห้องน้ำแบบเก่าของจีน (ภาพจาก Baidu)

ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


จากที่เล่ามายาวนานนี้มีพื้นที่อยู่ที่มณฑลอวิ๋นหนัน และมีเนื้อหาอยู่ที่การค้าประเวณีหญิงจีน ในส่วนที่เป็นเรื่องราวอื่นนอกเหนือจากนี้จะอยู่แวดล้อม โดยเมื่อปัญหาดังกล่าวค่อยๆ ลดน้อยลงไป พร้อมกับรูปแบบการค้าประเวณีที่เปลี่ยนไป และการเกิดขึ้นของอาชญากรรมรูปแบบใหม่ในทศวรรษ 1990 แล้วนั้น การวิจัยของผมก็เป็นอันสิ้นสุดลง

แต่การที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่เพียงทำให้ผมมีเพื่อนชาวจีนเพิ่มขึ้นอีกหลายคนเท่านั้น โดยเป็นเพื่อนที่มีอาชีพเดียวกับผม คือเป็นนักวิชาการ และต่อมาผมก็ได้ร่วมงานวิจัยกับมิตรสหายเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ต่อจากงานชิ้นแรกที่เป็นเรื่องการค้าประเวณีหญิงจีน และงานวิจัยที่ว่าก็คือเรื่อง  สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ 

 คำว่า สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ นี้หมายถึง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีน เมียนมา (ขณะนั้นยังใช้ชื่อประเทศว่าพม่า) ลาว และไทย ซึ่งต่างมีชายแดนติดกันหรือใกล้กัน รวมแล้วสี่ประเทศ 

เมื่อคิดไปถึงตอนที่วิจัยเรื่องนี้แล้วก็อดขำไม่ได้ ที่ไม่ว่าจะร่วมมือทางเศรษฐกิจกันอย่างไรในหมู่ประเทศที่มีภูมิศาสตร์ติดกันหรือใกล้กัน ก็มักจะถูกโยงให้สัมพันธ์กันในเชิงเรขาคณิต เช่น ถ้ามีกัมพูชาและเวียดนามเพิ่มเข้าไปในสี่ประเทศข้างต้นก็จะเรียกว่า  หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ  เป็นต้น

จากนั้นก็โยงเอาประเทศนั้นเข้ามา ตัดประเทศนี้ออกไป แล้วก็เรียกแตกต่างกันไปว่า ห้าเหลี่ยมเศรษฐกิจ บ้าง  สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ  บ้าง ฯลฯ จนถูกเรียกว่า  เศรษฐกิจเรขาคณิต 

โยงไปโยงมาทำเอาผมก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่า ช่วงนั้นเศรษฐกิจไทยกำลังบูม แล้วก็มีบุคคลวงการต่างๆ (ส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงธุรกิจ) ออกมาแสดงสิ่งที่เรียกว่า วิสัยทัศน์ อยู่เสมอ จนคำคำนี้กลายเป็นคำที่ทุกคนต้องมีต้องแสดง เพื่อให้ขึ้นชื่อว่าตัวเองเป็นคนมีวิสัยทัศน์ ทำให้วิสัยทัศน์กลายเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ในหมู่ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจการเมือง ใครไม่มีถือว่าเชยหรือตกยุค

แต่ทำอีท่าไหนไม่ทราบได้ เพราะพอถึงปี 1997 เศรษฐกิจไทยก็แตกดังโพละ คนที่เคยแสดงตนว่ามีวิสัยทัศน์ต่างหายหน้าหายตากันไปหมด

เจ้าสัวท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่เศรษฐกิจกำลังบูมอยู่นั้น ท่านก็ว่าจ้างคนที่มีชื่อเสียงที่ขึ้นชื่อว่ามีวิสัยทัศน์คนหนึ่งมาเป็นที่ปรึกษากับเขาด้วย อยู่มาวันหนึ่งที่ปรึกษาคนนี้ได้แนะนำให้ท่านลงทุนในธุรกิจตัวใหม่ที่จะต้องใช้เงินทุนที่สูงมาก และแนะนำให้ท่านกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ในขณะนั้นกำลังคิดดอกเบี้ยที่ต่ำมาก

 ท่านเล่าว่า ด้วยความที่ท่านสร้างเนื้อสร้างตัวและธุรกิจของท่านแบบคนยุคเก่า หรือที่เรียกกันในยุคนี้ว่า อนุรักษ์นิยม ท่านจึงไม่เชื่อคำแนะนำของที่ปรึกษาคนนี้ แถมยังเคืองๆ เอาด้วย จนไม่นานหลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็ล่มสลายกลายเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง ท่านจึงเป็นหนึ่งในนักธุรกิจไม่กี่คนในเวลานั้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้อยมาก คือธุรกิจของท่านยังมีกำไร เพียงแต่ไม่มากเท่าก่อนวิกฤตเท่านั้น 

ท่านบอกกับผมว่า ถ้าท่านเชื่อ  “วิสัยทัศน์”  ของที่ปรึกษาท่านนั้นแล้ว ธุรกิจของท่านจะพังพินาศจนอาจไม่ได้ผุดได้เกิดก็ได้

เรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่อยู่ใกล้เคียงจึงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยในเวลานั้น จนผมกับเพื่อนร่วมงานสามสี่คนอยากจะมีวิสัยทัศน์กับเขาบ้าง ก็เลยคิดอ่านทำวิจัยเรื่อง  สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ  ขึ้นมา เราทำเรื่องนี้ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งแล้วไปเสร็จหลังวิกฤตผ่านไปสองสามปี และจากงานวิจัยนี้เองที่ทำให้ผมได้ลงพื้นที่วิจัยที่อวิ๋นหนันอีกครั้งหนึ่ง

การไปอวิ๋นหนันในครั้งนี้ทำให้ผมได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเพื่อนที่เป็นตำรวจ ตม.จีนจากงานวิจัยครั้งแรก ด้วยเหตุที่เพื่อนใหม่เป็นนักวิชาการที่มีอาชีพเดียวกับผม เวลาพูดคุยอะไรกันจึงเข้าใจกันได้เร็ว และเช่นเดียวกับเพื่อนกลุ่มแรกที่ผมยังคงคบหาไปมาหาสู่กับเพื่อนกลุ่มนี้จนทุกวันนี้

ถึงตรงนี้ผมก็ขอเท้าความกลับไปที่บทที่ 5 ของ ใต้เงาจีน  ภาคนี้ว่า ผมได้รู้จักอาจารย์ท่านหนึ่งที่ร่วมมือกับพวกเราทำวิจัยเรื่องนี้ และผมก็เล่าว่า ท่านเป็นคนที่ร่ำเรียนมาทางทำอาหารอยู่ด้วย ท่านจึงมีฝีมือในการทำอาหาร และระหว่างที่ลงพื้นที่วิจัยในชนบทของอวิ๋นหนันเป็นเวลาหลายวันนั้น ท่านจะเป็นคนเลือกร้านอาหารด้วยตนเอง

พวกเราคนไทยจึงได้กินอาหารอร่อยและมีคุณภาพ ถือเป็นประสบการณ์ที่ได้มาโดยไม่คาดคิดมาก่อน

ตอนนี้ผมก็ขอกลับมาบอกเล่าเรื่องอาหารจีนอันแสนพิสดารอีกครั้งหนึ่ง จากที่ได้เกริ่นเอาไว้ในบทที่ 6 ของภาคนี้ว่าสามารถเล่าได้เรื่อยๆ เรื่องที่จะเล่านี้มาจากครั้งหนึ่งของการลงพื้นที่วิจัยแล้วก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง อาจารย์ท่านก็ทำหน้าที่เลือกร้านตามปกติ ส่วนพวกเราก็นั่งรอในรถ ท่านหายเข้าไปในครัวสักพักแล้วก็กวักมือเรียกพวกเราให้เข้าไปนั่งในร้าน ซึ่งแสดงว่าร้านนี้ไว้ใจได้

พอนั่งไปสักพักใหญ่ๆ อาหารก็ถูกทยอยวางไว้บนโต๊ะ แล้วพวกเราก็กินกัน ที่นี้ก็มีอาหารอยู่รายการหนึ่งเป็นผัดเห็ดล้วนๆ พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยเป็นเห็ดที่ไม่มีในไทย และอวิ๋นหนันก็ขึ้นชื่อในเรื่องความหลากหลายของเห็ดอีกด้วย

 ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานเห็ดอยู่นั้น ท่านก็บรรยายอาหารรายการนี้ให้ฟังว่า เห็ดที่พวกเรากินอยู่นี้เป็นเห็ดที่มีพิษแรง เวลาเอามาทำอาหารคนครัวจะต้องปรุงให้เป็น คือถ้าปรุงสุกมากไปหรือสุกน้อยไปเห็ดนี้ก็จะเป็นพิษ กินเข้าไปแล้วจะอันตรายมาก การปรุงจะต้องปรุงให้สุกพอดี และคนทำครัวร้านนี้ก็ปรุงเป็น 

พอได้ฟังเท่านั้นพวกเราก็ตกใจ เพื่อนบางคนที่กำลังใช้ตะเกียบคีบเห็ดจานนี้อยู่ถึงกับชะงักมือแล้วหันไปคีบอาหารจานอื่นแทน

อีกครั้งหนึ่งที่ถือเป็นประสบการณ์ไม่รู้ลืมก็คือ  อาหารทำพิษ  อาหารมื้อนี้จะว่าอาจารย์พลาดท่าก็ไม่เชิงนัก เพราะตอนนั้นเราไปถึงพื้นที่หนึ่งในเวลาพลบค่ำ และเนื่องจากเป็นชนบทจึงหาร้านอาหารได้ยาก โดยร้านที่ท่านเจอนั้นท่านก็เดินเข้าไปในครัวเหมือนทุกครั้ง สักครู่ท่านก็กวักมือให้พวกเราเข้าไปได้

พวกเราต่างก็กินอาหารมื้อนี้เป็นปกติเหมือนทุกมื้อที่ผ่านมา แต่พอกลับไปถึงห้องพักได้ไม่นานอาหารมื้อนั้นก็สำแดงเดช พวกเราต่างท้องเสียไปตามๆ กัน เสียกันยันวันรุ่งขึ้นไปอีกตลอดทั้งวัน และที่เป็นประสบการณ์อันเลวร้ายก็คือ วันรุ่งขึ้นที่ว่านี้เป็นช่วงที่เรากำลังเดินทางกลับไปคุนหมิง ซึ่งในระหว่างทางต้องขึ้นเขาลงห้วยโดยตลอด ห้องน้ำริมทางจึงหายากมาก

 แต่พอเจอเข้าเท่านั้น พวกเราต่างก็พากันเข้าไปแล้วพบว่าเป็นส้วมหลุมที่สกปรกมาก เพราะไม่เคยถูกทำความสะอาดมาก่อน ด้วยเป็นส้วมสาธารณะริมทางที่อยู่ห่างไกลชุมชน ส้วมแบบนี้มีอยู่มากในชนบทจีนเวลานั้น ส้วมที่ว่านี้จึงไม่มีอะไรมากั้นเป็นห้องหรือเป็นช่อง คนที่ใช้จึงจำต้องนั่งยองจนเข่าแทบจะชนกัน 

ลงมาแบบนี้แล้วก็ไม่มีใครต้องมาขวยอายกันอีกต่อไป ทุกคนต่างนั่งทำธุระของตนไป และไม่มีใครมองลงไปในหลุมส้วม ด้วยแน่ใจได้ถึงความสกปรกอยู่แล้ว แถมกลิ่นก็รุนแรงเกินจะทน

วันนั้นพวกเราต้องใช้ส้วมแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง มันจึงเป็นอะไรที่ทรมานไม่น้อย จนเย็นวันนั้นเราก็มาถึงโรงแรมที่พักในคุนหมิงด้วยความโล่งอก ที่จะได้ไม่ต้องใช้ส้วมริมทางอีกต่อไป ที่คุนหมิงเราได้ยาแก้ท้องเสียมากินแล้วต่างพาแยกย้ายกันไปในนอน คืนนั้นพวกเราทุกคนต่างนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียและเข็ดหลาบ


กำลังโหลดความคิดเห็น