xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (1) เรื่องเริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 “ครับ” 
เป็นคำสุดท้ายที่ผมตอบไปยังต้นทางโทรศัพท์ก่อนที่จะวางหูลงอย่างเงียบๆ จากนั้นผมก็เดินไปเคาะประตูห้องของผู้บังคับบัญชาเพื่อขอเข้าพบ เมื่อได้รับอนุญาตจึงได้เล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องราวที่ผมได้คุยกันทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่

ว่ามีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์เพื่อขอให้ผมช่วยไปเป็นล่ามให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่โรงพักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ได้มีหญิงกลุ่มหนึ่งเดินมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สี่แยกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ เพราะหญิงกลุ่มนี้สื่อสารด้วยภาษาที่ในเวลานั้นทางตำรวจไม่รู้ว่าภาษาอะไร แต่เดาว่าน่าจะเป็นภาษาจีน ซึ่งต่อมาก็ปรากฏว่าทางตำรวจเดาถูกว่าเป็นภาษาจีน แต่ที่ตำรวจรู้แน่ๆ คือ ดูทรงแล้วหญิงกลุ่มนี้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนั้นทางตำรวจจึงนำหญิงเหล่านี้ไปยังโรงพักที่ตนสังกัด และพยายามจะสอบปากคำเพื่อเก็บเป็นข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้ แต่ยังทำไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีใครมาเป็นล่ามให้ ดังนั้น ในเบื้องต้นทางตำรวจจึงได้ติดต่อกับศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ให้ช่วยรับหญิงเหล่านี้ไปดูแลในบ้านพักของศูนย์ก่อน ไว้เมื่อทางตำรวจจะสอบปากคำแล้วจะให้ทางศูนย์ช่วยนำหญิงเหล่านี้ไปสถานีตำรวจอีกครั้ง

ตอนนั้นทางศูนย์ดังกล่าวก็ไม่มีใครที่จะเป็นล่ามได้ แต่ศูนย์นี้รู้จักเพื่อนรุ่นพี่ของผมที่ทำงานด้านสื่ออยู่จึงได้ถามมา ส่วนเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ก็รู้จักผมและรู้ว่าผมใช้ภาษาจีนได้จึงได้โทรศัพท์มาหาผม เพื่อให้ผมช่วยไปเป็นล่ามให้กับทางตำรวจเพื่อบันทึกปากคำของหญิงเหล่านี้ ส่วนผมเมื่อฟังแล้วก็รับปากไปคำเดียวว่า “ครับ”

พอผมเล่าเรื่องดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบท่านก็ไม่ขัดข้อง อนุญาตให้ผมไปเป็นล่ามโดยให้เหตุผลว่า การทำเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตัวผมในกาลข้างหน้า เพราะจะได้ฝึกปรือภาษาจีนไปด้วยในตัว ตอนนั้นทั้งท่านและผมไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้ ผมจึงไปช่วยศูนย์ดังกล่าวตามที่ขอมา โดยที่รู้ดีว่า การทำงานนี้จะไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมเองเคยทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนมาก่อน
เมื่อถึงวันนัดผมก็ไปที่สถานีตำรวจเพื่อเป็นล่าม ตอนนั้นเองผมได้พบและรู้จักกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ดังกล่าว ซึ่งต่างก็อยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวทั้งสิ้น ด้วยแต่ละคนเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ไม่กี่ปี และเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ที่จะทำงานแบบนี้ คือแบบที่เรียกกันว่า  งานกุศล  ก็เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนั้นนั่นแหละ โดยไม่รู้ว่าจากวันนั้นเป็นต้นมาจะทำให้ผมได้รู้จักน้องๆ เหล่านี้อีกยาวนานหลายปี

อย่างไรก็ตาม การเป็นล่ามจำเป็นของผมในวันนั้นได้ทำให้ผมรู้ว่า ภาษาจีนที่ผมร่ำเรียนมานานหลายปีช่วงที่เป็นวัยรุ่นนั้นได้คืนครูหรือที่เรียกกันหยาบๆ ว่า  “เข้าหม้อ”  ไปจนเกือบหมดแล้ว เพราะมีคำหลายคำที่ผมไม่สามารถสื่อสารกับหญิงจีนกลุ่มนี้ได้ ต้องแปลจีนเป็นจีนหลายตลบจึงรู้เรื่อง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ มีหญิงหลายคนเป็นชนชาติที่มิใช่จีน (Non-Chinese peoples) ที่สื่อสารภาษาจีนกลางแบบงูๆ ปลาๆ บางคนสื่อสารไม่ได้เลยก็มี

สรุปแล้ว ทั้งหมดนี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ชัดถ้อยชัดคำ และก็เป็นเธอที่ต้องเป็นล่ามให้กับเพื่อนของเธอแบบแปลจีนเป็นจีนให้ผมฟังอีกที เมื่อได้ความแต่ละท่อนแล้วผมก็แปลให้ตำรวจฟังเพื่อบันทึก ส่วนน้องๆ จากศูนย์ก็บันทึกไปด้วยเพื่อเก็บในแฟ้มข้อมูลของศูนย์ไปด้วย

จะมีก็แต่ผมคนเดียวที่ไม่ได้จดอะไรทั้งสิ้น เพราะมั่วแต่สื่อสารกับหญิงจีนถึงคำที่เราไม่เข้าใจให้เข้าใจ จนไม่คิดที่จะจดอะไรเอาไว้

 หลังจากที่ผมทำหน้าที่ล่ามกำมะลอไปได้ระยะหนึ่งก็ทำให้รู้ว่า หญิงจีนเหล่านี้ต่างก็ถูกหลอกให้มาขายตัวหรือค้าประเวณีในเมืองไทยทั้งสิ้น และทั้งหมดมาจากภาคใต้ของมณฑลอวิ๋นหนัน นั่นคือ มาจากจังหวัดสิบสองปันนาหรือไม่ก็ซือเหมา จากเหตุนี้ ผมจึงมีข้อมูลของเธอเหล่านี้อยู่เต็มหัว โดยที่หากต้องการข้อมูลที่เป็นบันทึกแล้ว ผมก็สามารถขอได้จากน้องๆ ของศูนย์ได้ตลอดเวลา เมื่อการสอบปากคำดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ทางตำรวจก็ได้ข้อสรุปว่า หญิงจีนที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายนี้ยังไงก็ต้องส่งกลับบ้าน และไม่เอาโทษใดๆ เพราะลำพังแค่ถูกหลอกมาก็เจ็บปวดอยู่แล้ว หากลงโทษอีกก็เหมือนซ้ำเติมและบาปกรรมเปล่าๆ ตอนที่จะส่งกลับนี้เองที่ทางศูนย์แจ้งกับผมว่าจะให้ผมไปจีนด้วยในฐานะล่าม และเสนอว่า ไหนๆ ผมก็รู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็น่าที่จะเอาเรื่องนี้มาทำวิจัยเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ โดยที่ไปเมืองจีนนั้นก็คือการลงพื้นที่วิจัยนั้นเอง

ตอนที่ได้ยินเช่นนั้นผมก็นึกตำหนิตัวเอง ว่าเป็นนักวิจัยแท้ๆ ทำไมเรื่องแค่นี้จึงคิดไม่เป็น ต้องให้น้องๆ แนะนำมาจึงคิดได้ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่รอช้ารีบไปพบผู้บังคับบัญชาเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบ ปรากฏว่า พลันที่ท่านได้ยินก็ให้ดีใจมาก ท่านว่า การทำวิจัยเรื่องใดๆ นั้นทำได้ แต่ที่จะมีงานวิจัยที่พูดถึงปัญหาสังคมส่วนรวมหาได้น้อย และตัวท่านไม่คิดเลยว่า เรื่องจีนที่เป็นปัญหาสังคมดังเรื่องนี้ก็มีเช่นกัน คำตอบของท่านทำให้ผมสบายใจมากขึ้น เหลือก็แต่ว่าจะทำอย่างไรให้การเป็นล่ามของผมไม่ใช่ล่ามกำมะลอเท่านั้น
เรื่องนี้ผมก็ปรึกษาท่านด้วย ว่าภาษาจีนของผมยังไม่ดีพอที่จะเป็นล่าม เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีจนเสียงานเอาได้ ท่านฟังแล้วก็ว่า อย่าได้กังวลในเรื่องนี้ ของแบบนี้ต้องอาศัยเวลาในการฝึก และการฝึกที่ดีที่สุดก็คือ การลงภาคสนามปฏิบัติการจริงๆ ไม่ใช่เรียนในห้องเรียนแต่เพียงสถานเดียว ท่านเชื่อว่าผมจะทำได้

สำหรับผมแล้วนั่นคือกำลังใจที่ทรงพลังอย่างมาก จนเมื่อใกล้วันเดินทางไปจีน ท่านก็เรียกให้ผมเข้าพบพร้อมกับให้คำแนะนำว่า ที่ผ่านมาผมได้ไปวิจัยที่จีนแบบที่มีโครงการรองรับ แต่คราวนี้ค่อนข้างกะทันหันและเป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้า ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจะมีหญิงจีนถูกหลอกมาขายตัวที่ไทย การที่จะมีงานวิจัยแบบไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริงทีเดียว เพราะถ้าหากรอให้เขียนโครงการวิจัยนี้อย่างเป็นทางการแล้วกว่าจะได้อนุมัติก็ในปีต่อไป แต่ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถรอถึงปีหน้าได้ มีแต่ลุกลามออกไป ซึ่งเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ที่สำคัญ การลงพื้นที่ครั้งนี้ที่หมายถึงการไปถึงบ้านเกิดของหญิงจีนเหล่านี้อีกด้วยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครคิดจะไปก็ไปได้ แต่จะต้องมีหน่วยงานที่จีนรองรับด้วย


เรื่องหลังนี้มีปัญหายุ่งยากอย่างมากในตอนแรกๆ เพราะฝ่ายไทยจะต้องติดต่อกับทางสถานทูตจีนในไทยเพื่อให้ช่วยประสานเรื่องนี้ให้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วทางสถานทูตจะต้องแจ้งเรื่องนี้ไปที่กระทรวงการต่างประเทศที่เป็นต้นสังกัด จากนั้นทางกระทรวงก็จะแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องทำนองนี้มาดูแลต่อไป ความหมายก็คือ หน่วยงานนั้นจะต้องเป็นผู้ดูแลบุคลากรฝ่ายไทยที่จะเดินทางไปจีนด้วย

ปัญหาก็คือว่า จีนไม่เคยมีปัญหาคนถูกหลอกออกนอกประเทศมาก่อน หรือที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ ดังนั้น การหาหน่วยงานที่จะมาดูแลเรื่องนี้ต่อไปจึงมีความขลุกขลักในการประสานงานในระยะแรกๆ กว่าจะลงตัวว่าให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งสังกัดกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนที่ดูแลกิจการตำรวจ เวลาก็ล่วงเลยไปนานนับเดือน

และแล้วเวลาเดินทางไปอวิ๋นหนันก็มาถึง เรื่องที่ผมเคยถามตัวเองว่า หลังจากการไปทัศนศึกษาที่จีนในปี 1991 (2534) แล้วผมจะยังมีโอกาสที่จะได้ไปจีนอีกหรือไม่หรือไปด้วยเหตุอันใด ตอนนี้คำถามที่ว่าถูกเฉลยแล้ว จะมีก็แต่เหตุที่ไปที่ผมคิดไม่ถึงว่าจะไปวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ โดยที่ถ้าผมไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่า ช่วงก่อนหน้านั้นหลายปี คือตอนที่ผมยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนอยู่นั้น ผมก็เคยวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการค้าประเวณีมาก่อน

การทำวิจัยครั้งนี้ผมจึงถูกเพื่อนๆ แซวว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้าประเวณีไปแล้ว เพื่อนบางคนถึงกับแซวแรงๆ ว่า อิจฉาผม ส่วนผมได้แต่ยิ้มรับคำแซวโดยไม่ตอบโต้ ในใจได้แต่ตื่นเต้นที่จะได้ไปจีนแบบไปตายเอาดาบหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่า ต่อไปจะเปลี่ยนชีวิตทางวิชาการของผมครั้งใหญ่


กำลังโหลดความคิดเห็น