เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองแวะไปเยี่ยมหมีขาวรัสเซียเขาไว้สักหน่อย เพราะเมื่อช่วงวันพุธสัปดาห์ที่แล้ว (25 ก.ย.) ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้เรียกประชุมบรรดาผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบระดับสำคัญต่างๆ ในด้านความมั่นคงอย่างเป็นงาน-เป็นการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีคลัง ผู้บริหารหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ “SVR” (Foreign Intelligence Service) หน่วยงานความมั่นคงกลาง “FSB” (Federal Security Service) องค์กรความเคลื่อนไหวทางอวกาศ “Roscosmos” (The State Corporation for Space Activities) รวมไปถึงองค์กรด้านนิวเคลียร์ “Rosatom” (The State Atomic Energy Corporation) ฯลฯ เพื่อที่จะแจ้งให้รับรู้-รับทราบถึงการ “เปลี่ยนหลักนิยม” ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียนับแต่นี้เป็นต้นไป!!!
คือถ้าว่ากันถึงข้อกำหนดและแนวทางในการงัดอาวุธร้ายๆ ประเภท “อาวุธนิวเคลียร์” ที่ประเทศรัสเซียกำเอาไว้ในมือถึงประมาณ 5,580 หัวรบด้วยกัน หรือที่ถูกติดตั้งไว้กับขีปนาวุธแต่ละชนิด ระดับพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ จำนวนไม่น้อยไปกว่า 1,710 ลูก อันถือเป็นประเทศที่มีอาวุธชนิดนี้มากที่สุดในโลก แม้จะน้อยกว่ายุคที่เคยรวมตัวกันเป็น “สหภาพโซเวียต” ที่มีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ปาเข้าไปถึง 45,000 หัวรบเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่โดยแนวทางในการใช้อาวุธดังกล่าวคงเป็นไปในแบบที่รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov” ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า เป็นแบบ “ทั่วๆ ไป” คือต้องมี “ข้อมูล-ข่าวสาร” ที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่ากำลังถูกผู้อื่นโจมตีด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปขึ้นมาจริงๆ หรือโดนโจมตีด้วยอาวุธตามแบบแผน นอกแบบแผน ถึงขั้นเจียนอยู่-เจียนไป หรือถึงขั้นถือเป็น “ภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของประเทศ” ถึงพอจะงัดเอาอาวุธร้ายๆ ประเภทนี้มาโจมตี-ตอบโต้ ตาม “หลักนิยม” ที่เคยกำหนดเอาไว้นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา...
แต่ในเมื่อฉากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกมันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือเกิดภาวะที่รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรายนี้ท่านสรุปว่า... “ฝ่ายตะวันตกมักจะเมินเฉยต่อคำพูด ข้อเรียกร้องใดๆ ของรัสเซีย ไม่ว่าจะพูดกันแบบชัดๆ ตรงไป-ตรงมา พูดแล้ว-พูดเล่า ย้ำแล้ว-ย้ำเล่า ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากพวกเขายังมุ่งร้าย ยังทำในสิ่งที่มิอาจรับได้ หรือยังเพียรพยายามยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งๆ ขึ้นไป” จนทำให้บรรดาอาวุธร้ายๆ อย่างอาวุธนิวเคลียร์ที่แม้รัสเซียจะกำเอาไว้ในมือนับพันๆ ลูก แต่แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “สากกะเบือ” ประมาณนั้น หรืออย่างที่อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Karaganov” ได้สรุปเอาไว้แบบน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย นั่นก็คือ... “การมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือแต่ไม่สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าคุณพร้อมที่จะใช้อาวุธชนิดนี้ ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ...ฆ่าตัวตายนั่นเอง” ด้วยเหตุนี้...การเปลี่ยนหรือการปรับปรุงหลักนิยมในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย จึงได้อุบัติขึ้นมาในการประชุมเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมาด้วยประการละฉะนี้...
ด้วยเหตุนี้...ข้อเสนอแรกในการปรับปรุงหลักนิยมดังกล่าว จึงเริ่มต้นด้วยการ “แยกมิตร-แยกศัตรู” หรือการขยายหมวดหมู่บรรดาชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่มีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนในการโจมตีรัสเซีย (joint attack)โดยแม้ไม่มีการระบุชื่อ ระบุรายละเอียดของแต่ละประเทศออกมาแบบชัดๆ แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายรัสเซียโดยการรับรองของรัฐบาลได้เคยเผยแพร่รายชื่อบรรดาประเทศที่ “ไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย” (The unfriendly countries list) เอาไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2021 และเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2022 หรือหลังการบุกยูเครนของรัสเซียไว้ชนิดละเอียดยิบไม่ว่าอเมริกา แคนาดา ประเทศอียู อังกฤษ และอาณานิคม ยูเครน มอนเตเนโกร สวิตเซอร์แลนด์ อัลบาเนีย อันดอร์รา ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ โมนาโก นอร์เวย์ ซานมาริโน มาซิโดเนียเหนือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไมโครนีเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไปยันไต้หวัน ฯลฯ โน่นเลย ที่คงหนีไม่พ้นต้องหนาวๆ-ร้อนๆ วูบๆ วาบๆ กันไปในแต่ละประเทศ...
เพราะข้อเสนอต่อมาก็คือการลดระดับ “ขีดจำกัด” ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย จากที่เคยเป็นแบบ “ทั่วๆ ไป” มาสู่การขีดเส้นตายต่อบรรดาผู้ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนการโจมตีรัสเซีย ไม่ว่าโดยการใช้เครื่องบิน จรวด โดรน ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานอื่นๆ ไปจนถึงการขยายความหมายของเส้นตายอันเป็นสิ่งที่มิอาจล่วงละเมิดได้ ให้ครอบคลุมไปถึงพันธมิตรผู้ใกล้ชิดรายสำคัญของรัสเซีย นั่นคือประเทศเบลารุสควบคู่ไปด้วย หรือถือเป็น “ครั้งแรก” ที่รัสเซียได้หยิบเอาเรื่องการโจมตีเบลารุสมาเกี่ยวพันกับการตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย โดยหลักนิยมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ อันเนื่องมาจากแนวโน้มทางการเมือง-การทหารที่มีพลวัตแตกต่างไปจากเดิม นั่นคือใครก็ตามที่คิดโจมตีเบลารุสก็เท่ากับถือเป็นการโจมตีรัสเซีย การงัดเอาอาวุธนิวเคลียร์ออกมาตอบโต้ จึงถือเป็นสิทธิหรือเป็นสิ่งที่รัสเซีย “สงวนสิทธิ” เอาไว้นั่นเอง...
และเผอิญว่าภายในวันเดียวกันนี้...พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดของรัสเซียอย่างคุณพี่จีน ท่านก็ได้จังหวะ เวลา ในการ “ทดสอบ” การยิงขีปนาวุธข้ามทวีป “ICBM” (Intercontinental ballistic missile) ด้วยหัวจรวดปลอม หรือที่ยังไม่ได้ติดหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้ด้วย จากแผ่นดินใหญ่ไปตกอยู่แถวๆ มหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเวลาประมาณ 08.44 น.ของวันพุธที่ 25 ก.ย.แบบพอดิบพอดี แม้ว่ากระทรวงกลาโหมจีนจะออกมาแถลงว่าถือเป็นการทดสอบตามปกติ โดยไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปยังประเทศหนึ่ง-ประเทศใดเป็นการเฉพาะ แต่ก็นั่นแหละ...การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในลักษณะทำนองนี้ ก็ยิ่งน่าจะทำให้ใครต่อใคร หนีไม่พ้นต้องหันไป “หรี่แอร์” หรือต้องหนาวว์ว์ว์ยะเยือกขึ้นมามิได้ แม้ว่าชาตินิวเคลียร์อย่างจีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ในระดับหลักร้อยไม่ถึงกับหลักพันอย่างรัสเซีย แต่ด้วยความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ระดับ “ไร้ขีดจำกัด” ของสองมหาอำนาจคู่แข่งคุณพ่ออเมริกา ย่อมทำให้อภิมหาอำนาจสูงสุดผู้พยายามปกป้อง พิทักษ์ รักษา ความเป็นประมุขโลก อย่างชนิดไม่ยอมให้ใครต่อใครโผล่ขึ้นมาเบียด มาแซงหน้าโดยเด็ดขาด ย่อมคงต้องคิดหน้า-คิดหลัง หรือคิดไป-คิดมา ประมาณแปดตลบ-สิบตลบเป็นอย่างน้อย...
ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกในทุกวันนี้....จึงออกจะเป็นไปอย่างที่ท่านเลขาธิการสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ท่านได้ว่าไว้ในช่วงการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละ คือมันใกล้ๆ จะคล้ายๆ กับ “ถังดินระเบิด” ยิ่งเข้าไปทุกที!!! แถมเป็นถังดินระเบิดที่ซุกซ่อนระเบิดมหาประลัย ระดับระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร์เอาไว้ด้วยอีกต่างหาก ด้วยเหตุเพราะการแข่งขัน การช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ทำให้ “แนวรบ” ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่ายุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือทะเลจีนใต้ ต่างมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากตัว “จุดชนวน” ที่จะทำให้ทุกๆ แนวรบสามารถระเบิดตูมๆ ตามๆ ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ...
การอนุมัติ-อนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกจัดหามาให้ ยิงเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ตาม “แผนการแห่งชัยชนะ” ที่ผู้นำยูเครน “นายVolodymyr Zelensky” เพิ่งนำไปเสนอต่อผู้เฒ่า คุณปู่ “โจ ซึมเซา” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม ด้วยการประกาศที่จะจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือยูเครนอีกไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญ การเปิดโอกาส ให้กับการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซีย ต่อประเทศใดๆ ก็ตาม ที่มีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนต่อปฏิบัติการในลักษณะเช่นนี้ ตาม “หลักนิยมนิวเคลียร์” ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา...
ส่วนในตะวันออกกลางนั้น แม้ว่าอเมริกาและพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสจะร่วมเรียกร้องให้อิสราเอลและพวก “Hezbollah” ในเลบานอน “หยุดยิง” เป็นระยะเวลา 21 วัน แต่ในเมื่ออเมริกายังคงพร้อมที่จะ “เติมเงิน-เติมอาวุธ” ให้กับอิสราเอลอย่างไม่มีวันขาดมือ ก็ยิ่งทำให้อิสราเอลไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจต่อข้อเรียกร้องใดๆ ของอเมริกาและฝรั่งเศสเอาเลยแม้แต่น้อย ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” เลยออกมาปฏิเสธข้อเสนอของอเมริกา-ฝรั่งเศสแบบโดยฉับพลัน-ทันที หรือยังคงมุ่งที่จะเดินหน้า “ขยายวงสงคราม” อีกต่อไป หรืออาจถึงขั้นคิดจะบุกโจมตีอิหร่านในอีกไม่นาน-ไม่ช้าเอาเลยก็ไม่แน่...
ความเป็นไปของโลกทุกวันนี้....เลยไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “ถังดินระเบิด” อย่างที่เลขาธิการสหประชาชาติท่านว่าเอาไว้เท่านั้น แต่ยังรายรอบไปด้วยพวก “เด็กที่ชอบเล่นไม้ขีดไฟ” ที่พร้อมจะจุดไม้ขีดก้านแล้ว-ก้านเล่า โดยไม่ได้สนใจต่อเสียงเรียกร้อง คำพูด คำเตือนถึง “อันตราย” ที่จะมีผลตามมาเอาเลยแม้แต่น้อย และอันนี้นี่เอง...ที่อาจส่งผลให้ “สงครามโลกครั้งที่ 3” กลายเป็นสงครามที่ผิดแผกแตกต่างไปจากสงครามโลก 2 ครั้ง ซึ่งเคยอุบัติขึ้นมาก่อนหน้านี้ หรือมีสิทธิกลายสภาพเป็น “สงครามนิวเคลียร์” อันอาจทำให้ “มวลมนุษยชาติ” ต้องล้มตายไปถึง 2 ใน 3 ส่วน ทวยทหารต้องสิ้นชีพตักษัยไปไม่ต่ำกว่า 200 ล้านคนเป็นอย่างน้อย เหมือนอย่างที่ “พระคัมภีร์ไบเบิล” ได้ให้คำอธิบายถึง “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” หรือ “สงครามอารมาเกดโดน” นั่นเอง!!!