(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Biden, NATO effectively declaring war on Russia
by Stephen Bryen
14/09/2024
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กำลังเตรียมตัวเดินทางไปวอชิงตัน เพื่อหารือถึงเป้าหมายต่างๆ ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ที่จะถูกโจมตีด้วยอาวุธพิสัยทำการไกลซึ่งเคียฟได้รับจากสหรัฐฯและพวกพันธมิตรชาตินาโต้ นี่คือการบานปลายขยายตัวซึ่งอาจจุดชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 3
ไม่มีทางไหนอีกแล้วที่จะตีความเรื่องนี้ให้เป็นอย่างอื่นไปได้ วอชิงตันและพวกชาติสมาชิกองค์การนาโต้ที่เป็นบริวารของสหรัฐฯ กำลังประกาศสงครามกับรัสเซีย
นี่คือความหมายที่ตรงไปตรงมาของการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยที่ในการเยือนคราวนี้แหละ ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะทำความตกลงกันเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆ ที่จะโจมตีภายในรัสเซีย
เพียงแค่บอกว่า นี่คือความเคลื่อนไหวอย่างชนิดบ้าบอและไร้สติ ก็ยังเป็นการประเมินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่ดี เพราะในบรรดาก้าวเดินสำหรับที่สหรัฐฯและนาโต้อาจเลือกได้นั้น นี่คือก้าวเดินซึ่งมีอันตรายมากที่สุด –มันน่าจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
อย่าไปเชื่อคำพูดตีโวหารใดๆ ที่อ้างว่ามี “เหตุผลความชอบธรรม” รองรับสำหรับการใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลยิงเข้าไปในรัสเซีย ปูตินเพิ่งชี้ออกมาแล้วว่า ยูเครนจะเป็นเจ้าภาพของขีปนาวุธเหล่านี้ก็จริงอยู่ แต่มันจะถูกยิงออกมาโดยบุคลากรของนาโต้ ผู้ซึ่งยังจะทำหน้าที่ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่จะเข้าโจมตี โดยที่ข้อมูลดังกล่าวก็มาจากพวกดาวเทียมซึ่งกำลังลอยอยู่ข้างบนฟ้าและมีขอบเขตการตรวจการณ์สอดแนมครอบคลุมดินแดนรัสเซีย ทั้งนี้ ดาวเทียมเหล่านี้เป็นของอเมริกัน
การพบปะหารือกันระหว่างเซเลนสกี-ไบเดน น่าที่จะมีรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เข้าร่วมด้วย ดังนั้นเธอก็จะเข้ารับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับการเริ่มต้นเปิดสงครามขึ้นมา
ไม่มีใครสามารถสันนิษฐานล่วงหน้าหรือทึกทักเอาว่า ผลลัพธ์ของการหารือนี้จะออกมาอย่างไร รัสเซียจะปล่อยอาวุธนิวเคลียร์และนำสงครามยูเครนเข้าสู่จุดจบอย่างแน่นอนหรือไม่? หรือรัสเซียจะสอยดาวเทียมอเมริกันไหม? รัสเซียจะส่งจรวดเข้าโจมตีพวกคลังสัมภาระในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโปแลนด์ ซึ่งกำลังเป็นจุดจัดส่งสัมภาระทางทหารไปให้แก่ยูเครนหรือเปล่า?
ยังมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีกมากมายที่เปิดกว้างให้รัสเซีย ตัวอย่างเช่น รัสเซียอาจจะถ่ายโอนอาวุธไปให้แก่อิหร่าน หรือไม่ก็ส่งเข้าไปในซีเรีย
ความจริงก็คือ วอชิงตันต้องการรับข้อเสนอของเซเลนสกีในเรื่องการโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย เพราะว่ายูเครนกำลังพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ และกระทั่งอาจจะปราชัยก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯตอนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ด้วยซ้ำ
ทีมไบเดน-แฮร์ริส จะต้องออกมาอธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงยังคงหนุนหลังไอ้ขี้แพ้ไม่เลิกรา ซึ่งกำลังเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนหลายหมื่นคน แทนที่จะแสวงหาหนทางรอมชอมทางการทูต ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถหยิบฉวยนำเอามาใช้งานได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ต้องย้ำกันตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า วอชิงตันได้หยุดยั้งข้อตกลงระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกัน และไบเดนกับแฮร์ริสคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงสำหรับเรื่องนี้
ยุทธศาสตร์ของเซเลนสกี เป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย เขาทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังแตกกระจายพังเสียหาย และยูเครนจะไม่สามารถสู้รบอะไรต่อไปได้อีกเมื่อถึงช่วงฤดูหนาว เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสไฟฟ้า และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย กำลังเหือดแห้งหมดสิ้นแล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศโปแลนด์ ราโดสเลาว์ ซีคอร์สกี (Radosław Sikorski) บอกว่า การจ่ายกระแสไฟฟ้าของยูเครนกำลังลดน้อยถอยลงมาถึง 70% บางทีอาจจะมากกว่านี้อีก ดังนั้นยุทธศาสตร์ของเซเลนสกีก็คือการนำเอานาโต้เข้ามาร่วมในสงครามโดยตรง และด้วยความงี่เง่าบวกกับความยโสโอหัง วอชิงตันก็กำลังเล่นเกมเดียวกันนี้ด้วย
ไม่มีใครอีกแล้ว นอกเหนือจากสหราชอาณาจักร ที่ต้องการเห็นสงครามระเบิดขึ้นในทั่วทั้งยุโรป สหราชอาณาจักรนั้นไม่ได้เป็นประเทศยุโรปที่ทรงความสำคัญประเทศหนึ่งอีกต่อไปแล้ว และยังขาดไร้กองทัพภาคพื้นดินที่มีคุณค่าสมควรแก่การกล่าวถึงอีกด้วย
ตรงกันข้ามรัฐบาลสหราชอาณาจักรกลับสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินราคาแพงลิบลิ่วสองสามลำที่ปฏิบัติงานได้อย่างย่ำแย่ แทนที่จะทำอะไรอย่างอื่นที่ดีกว่ากันนักหนา อย่างการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่การทหารของตัวเอง และการสร้างระบบการป้องกันของสหราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่
ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สหราชอาณาจักรก็เพียงแต่เต้นไปตามเพลงของสหรัฐฯเท่านั้นเอง พวกสหราชอาณาจักรนั้นกระหายเหลือเกินที่จะโจมตีรัสเซีย ทว่าไม่เคยสนใจใยดีที่จะขบคิดให้ถี่ถ้วนว่าอะไรจะเกิดขึ้นมาเมื่อรัสเซียถล่มโจมตีใส่สหราชอาณาจักร
คำถามข้อใหญ่คือคำถามที่ว่า ทำไมวอชิงตันต้องการที่จะยิงขีปนาวุธลึกเข้าไปในรัสเซีย เรื่องนี้หมายความว่าทั้ง ไบเดน, ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ เจค ซัลลิแวน, และรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน ต่างทราบดีแล้วว่านโยบายยูเครนของพวกเขาคือความวิบัติหายนะ
แต่แทนที่จะพยายามเปิดการติดต่อสื่อสารกับฝ่ายรัสเซีย พวกเขากลับกำลังเพิ่มเดิมพันและกำลังตัดสินใจเสี่ยงภัยครั้งมโหฬาร โดยที่แทบไม่มีไอเดียเลยว่าสิ่งต่างๆ จะจบลงได้อย่างไร นอกเสียจากว่าพวกเขามีความพรักพร้อมแล้วจริงๆ ที่จะจัดส่งกองทหารนาโต้เข้าไปในยูเครน และใช้แสนยานุภาพทางอากาศของนาโต้ในสงครามยูเครน
รัสเซียอาจจะไม่สามารถเทียบเทียมกับสหรัฐฯในด้านการทหารหลายๆ หมวดหมู่หลายๆ ประเภท แต่รัสเซียก็ยังคงเป็นผู้ครอบครองแผ่นผืนดินแดนขนาดใหญ่โต และมีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งทางยุทธศาสตร์และทางยุทธวิธี
เราทราบกันมาเป็นเวลานานปีแล้วว่า ฝ่ายทหารของรัสเซียนั้นไม่ได้มีการจำแนกแยกแยะจริงจังอะไรเกี่ยวกับระบบอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี และระบบอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ตรงกันข้ามพวกเขามองอาวุธเหล่านี้ทั้งหมดว่าคือสิ่งที่สามารถนำเอามาใช้อย่างต่อเนื่องกันไป ถ้าหากมีความจำเป็นขึ้นมา
เรื่องนี้หมายความว่ารัสเซียสามารถที่จะยิง ขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยปานกลาง (IRBMs) ติดตั้งในเรือดำน้ำ เข้าใส่เป้าหมายต่างๆ บนดินแดนภาคพื้นทวีปของสหรัฐฯ ผู้คนในวอชิงตันควรที่จะทำความเข้าใจให้ดีว่า สหรัฐฯนั้นแทบไม่มีการป้องกันภัยทางอากาศระดับข้ามทวีปใดๆ เอาเลยที่มีศักยภาพในการหยุดยั้งการโจมตีทางนิวเคลียร์ของรัสเซีย
(ขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป intercontinental ballistic missiles หรือ ICBMs หมายถึงขีปนาวุธทิ้งตัวที่มีพิสัยทำการไกลกว่า 5,500 กิโลเมตร ขณะที่ ขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยปานกลาง intermediate-range ballistic missiles หรือ IRBMs มีพิสัยทำการระหว่าง 3,000 ถึง 5,500 กิโลเมตร ทั้งนี้ IRBMs ถือว่ามีพิสัยทำการอยู่ระหว่าง ขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยระยะกลาง medium-range ballistic missiles หรือ MRBMs ที่มีพิสัยทำการระหว่าง 1,000 ถึง 3,000 กิโลเมตร กับ ICBMs ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Intercontinental_ballistic_missile, https://en.wikipedia.org/wiki/Intermediate-range_ballistic_missile, และhttps://en.wikipedia.org/wiki/Medium-range_ballistic_missile)
หลายๆ ปีที่ผ่านมา พวกนักยุทธศาสตร์ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกกันว่า สมรรถนะ “ในการเป็นฝ่ายเข้าโจมตีครั้งแรก” (“first strike” capability) ผมไม่สามารถพูดได้หรอกว่ารัสเซียมีเจ้าสมรรถนะดังกล่าวนี้จริงหรือไม่ ทว่าไม่ควรมีใครเลยที่ต้องการพิสูจน์เรื่องนี้
(สมรรถนะในการเป็นฝ่ายเข้าโจมตีครั้งแรก” (first strike capability) ในทางยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ หมายถึงความสามารถของประเทศหนึ่งๆ ที่จะทำให้มหาอำนาจนิวเคลียร์อีกรายหนึ่งประสบความพ่ายแพ้ ด้วยการทำลายคลังแสงนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงกันข้าม จนกระทั่งถึงจุดที่ประเทศผู้เข้าโจมตีสามารถอยู่รอดได้จากการตอบโต้เอาคืนที่อ่อนกำลังลงไปแล้ว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำสงครามต่อไปได้ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/First_strike_(nuclear_strategy)
ความหวังที่มีอยู่เพียงประการเดียวคือการชักชวนโน้มน้าวพวกผู้นำในปัจจุบันของเรา ซึ่งอีกไม่นานก็จะถูกเปลี่ยนตัวอยู่แล้ว ให้เกิดความตระหนักขึ้นมาว่าพวกเขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการเริ่มต้นสงครามขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีเหตุผลใดๆ รองรับสำหรับการกระทำเช่นนั้นเลย
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลก็คือว่า คนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจกระทำลงไปโดยไม่ต้องแบกความรับผิดชอบที่ติดตามมา แต่สำหรับในกรณีของสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว ไม่ว่าการโฆษณาชวนเชื่อแบบละครน้ำเน่าจะไหล่บ่าท่วมท้นสื่อมวลชนสหรัฐฯมากมายแค่ไหนก็ตามที พวกผู้นำของเราก็จะมีเลือดจำนวนมากติดอยู่ที่มือของพวกเขาอยู่นั่นเอง ถ้าหากพวกเขาเดินหน้าในเรื่องการโจมตีลึกเข้าไปในรัสเซีย
สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสอยู่ที่เอเชียไทมส์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ
ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน