xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐาจะรอดหรือไม่รอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



คนส่วนใหญ่กำลังคุยกันว่าเศรษฐา ทวีสิน จะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดแล้วใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากวิษณุ เครืองาม เจ้าแห่งช่องลอดทางกฎหมาย เข้าไปเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แล้วอาสาจะแก้ต่างที่ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากมีมติ 6 ต่อ 3 มีคำสั่งรับคำร้องผู้ถูกร้องที่ 1 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไว้พิจารณา

จากกรณีสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คนยื่นคำร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาผู้ถูกร้องที่ 1 และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) และ (5) และอาศัยมาตรา 82 วรรคสอง

และศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ไม่รับคำร้องของผู้ถูกร้องที่ 2 ไว้พิจารณาวินิจฉัยเนื่องจากนายพิชิตความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงหลังได้ลาออกจากรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567

นอกจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ มติ 6-3 เสียงข้างมาก 6 เสียง ให้รับคำร้องประกอบด้วย นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ทั้ง 6 เสียงมีความเชื่อไปแนวทางว่า การกระทำของนายเศรษฐา อาจจะเข้าข่ายความผิดตามที่ถูกร้อง และใน 6 คนนั้นมี 4 คนบอกว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย มีเพียงนายนภดล และนายบรรจงศักดิ์ ที่บอกว่าไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

ส่วนที่บอกว่านายเศรษฐา ไม่มีความผิดไม่ต้องรับคำร้องมี 3 คนคือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ 3 คนนี้แทบจะไม่ต้องลุ้นแล้ว เชื่อว่า มติหลังการวินิจฉัยออกมาจะไม่เป็นอย่างอื่น ก็คือ น่าจะยืนว่านายเศรษฐาไม่มีความผิด

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า 6 เสียง 6 คนที่ให้รับคำร้องไว้พิจารณาจะมีมติอย่างไร

บางคนอาจจะมองจากมติไม่ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ 5-4 ว่า นายเศรษฐา น่าจะรอด เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยซ้ำซึ่งน่าจะหนักกว่าแต่กลับรอด ผมคิดว่าเรามองมุมนั้นไม่ได้กรณีของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ประเด็นที่ถูกร้องคือ ดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีหรือยัง ดังนั้นถ้าครบ 8 ปีแล้ว สถานภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์จะสิ้นสุดลง ไม่สามารถบริหารราชการต่อได้ เมื่อเป็นข้อสงสัยนี้ศาลจึงต้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

ต่างกับกรณีของนายเศรษฐาที่ถูกร้องว่าขาดมาตรฐานทางจริยธรรมที่แต่งตั้งนายพิชิตซึ่งผู้ร้องเห็นว่า ขัดมาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีประพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่ไม่ได้มีประเด็นคุณสมบัติของนายเศรษฐาในการเป็นนายกรัฐมนตรี

แม้ว่านายเศรษฐาอ้างว่าได้สอบถามคุณสมบัติของนายพิชิตกับทางกฤษฎีกาแล้ว แต่ประเด็นที่นายเศรษฐาสอบถามกลับพบว่า ประสงค์จะขอหารือเฉพาะกรณีมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้นไม่ได้ถามมาตรา 160 (4) และ (5)

ประเด็นที่เศรษฐาถูกร้องในการแต่งตั้งนายพิชิตทั้งที่รู้ว่ามีพฤติกรรมที่เคยถูกคำสั่งศาลให้จำคุก เพราะร่วมกันหิ้วถุงขนม 2 ล้านไปให้เจ้าหน้าที่ศาล คือขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมคือ

ข้อ 7 ต้องถือว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน

ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่นและมีพฤติการณ์ที่รู้หรือเห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

ข้อ 11 ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง

ข้อ 19 ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณีผู้ประพฤติผิดกฎหมายผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีความประพฤติหรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสียอันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่

ส่วนตัวถ้าให้ฟันธงผมเชื่อว่า นายเศรษฐาน่าจะเข้าข่ายความผิด เพราะรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิตนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร แม้จะอ้างว่า ได้ถามทางกฤษฎีกาไปแล้ว แต่ชัดเจนว่า นายเศรษฐามีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงที่จะถามถึง (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีประพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ซึ่งพฤติกรรมที่นายพิชิตถูกศาลสั่งจำคุกเพราะหิ้วถุงขนม 2 ล้านไปให้ศาลร่วมกับลูกน้องอีก 2 คน โดยมีคำพิพากษาว่า เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุดของประเทศซึ่งน่าจะมีคุณสมบัติข่ายต้องห้ามตามมาตรา (4) และ (5)

แม้เวลาต่อมาอัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้องฐานให้สินบนก็ตาม แต่พฤติกรรมเช่นนั้นก็น่าจะประจักษ์ชัดแล้วว่า นายพิชิตมีพฤติกรรมเช่นไร ซึ่งแม้แต่สภาทนายความยังไม่ยอมออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความให้ และที่น่าสนใจมากก็คือ อัยการสูงสุดที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายพิชิตในข้อหาติดสินบนศาลก็คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็น 1 ในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

ผมคิดว่า การวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน เพราะเป็นข้อกฎหมาย เพียงแต่ศาลชี้มาว่า คนที่มีพฤติกรรมเช่นนายพิชิตนั้นสามารถที่จะแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่ ถ้าศาลบอกว่าได้ คุณสมบัติของนายพิชิตไม่ขัดเรื่อง (4) และ (5) นายเศรษฐาก็จะไม่มีความผิดทันที แต่ถ้าศาลบอกว่าไม่สามารถแต่งตั้งนายพิชิตได้ เพราะขาดคุณสมบัติก็มาพิจารณาว่า การแต่งตั้งนายพิชิตของนายเศรษฐานั้นขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่

ก็รอดูว่า ตุลาการทั้ง 6 ท่านที่ให้รับเรื่องไว้พิจารณานั้นจะมีมติออกมาอย่างไร แต่ส่วนตัวผมฟันธงไปแล้วข้างบนว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด และนายเศรษฐาจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อถามว่าหากนายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งแล้วจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่า พรรคร่วมรัฐบาลน่าจะยังจับมือกันแน่น เพราะมีเงื่อนไขว่าไม่สามารถให้พรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารประเทศได้ เมื่อขั้วการเมืองยังไม่เปลี่ยนสุดท้ายคนที่จะเคาะว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็คือ เจ้าของพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้หากถามว่าแล้วใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็คือ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ลูกสาวสุดที่รักของทักษิณ

และหากถามว่าแล้วใครที่ผลักดันให้นายเศรษฐาแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงต้องตอบว่าก็คือ ทักษิณนั่นเอง
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan 


กำลังโหลดความคิดเห็น