“นครินทร์” ปธ.ศาลรัฐธรรมนูญ ยึด 4 หลักวินิจฉัยคำร้อง ยกสถาปนา 26 ปี ศาลมีคำร้องเข้าสู่การวินิจฉัย 1,881 คำร้อง ปรับการทำงานยุคดิจิทัล ปชช.ยื่นคำร้องผ่านอีไฟล์ลิ่ง
วันนี้ (10 เม.ย) ศาลรัฐธรรมนูญจัดการประชุมทางวิชาการประจำปี หัวข้อ “ศาลรัฐธรรมนูญกับการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” เนื่องในโอกาส 26 ปี แห่งการสถาปนาศาลรัฐธรรมนูญ โดย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กล่าวปาถกฐาพิเศษ ระบุถึงอำนาจหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดกรณีกรณีที่มีปัญหาที่ต้องตีความ กรณีมีปัญหาหน้าที่มีอำนาจขององค์กรและวินิจฉัยคดีที่เกิดจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
ในการทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด และปัจจุบันประชาชนสามารถร้องตรง หลังผ่านการร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ พร้อมหยิบยกเครื่องมือที่สำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาใช้วินิจฉัยคดีที่มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการมาแล้ว 26 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2541 คือ 1. กฎหมายนั้นต้องไม่ขัดกับหลักนิติธรรม ไม่มีผลย้อนหลังโดยเฉพาะการลงโทษทางอาญาต่อบุคคล ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรมที่ว่า “ไม่มีความผิด ไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย เช่น ที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยกรณีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 29/2557เรื่อง ให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรณีการออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 41/2557 เรื่อง กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัว เป็นความผิด ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ที่เป็นการออกคำสั่ง เรียกให้มารายงานตัวก่อน แล้วออกประกาศกำหนดโทษของการกระทำดังกล่าว หรือ กรณี พ ร.บ ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ที่มีกำหนดข้อสันนิษฐานไว้ ตั้งแต่เริ่มแรกว่า ถ้าบุคคลใดกระทำความผิด ให้กรรมการผู้จัดการของบริษัท หรือนิติบุคคลนั้น ทุกคนต้องร่วมรับผิดไปด้วย โดยยังไม่ได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงใด และยังมีอีกหลายคำวินิจฉัยที่ศาลได้พิจารณาว่ากฎหมายที่มีลักษณะดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และจากผลวินิจฉัยทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติทำการยกเลิกและแก้ไขกฎหมายที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันทั้งหมดของประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 76 ฉบับ
2. กฎหมายต้องไม่เพิ่มภาระ หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินกว่าเหตุ ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน 3. การตรากฎหมายจะต้องไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ และ 4. การตรากฎหมายต้องระบุถึงเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิเสรีภาพ กฎหมายนั้นจะต้องบังคับใช้เป็นการทั่วไปโดยไม่ได้มุ่งหมายบังคับกับบุคคลใดเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2541 จนปัจจุบันมีคำร้องเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัย 1,881 คำร้อง และมีการวินิจฉัยไปแล้ว 812 คำวินิจฉัยมีคำสั่ง 1,047 คำสั่ง ขณะเดียวกัน มีคดีร้องทุกข์ทางรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 จนถึงปัจจุบัน 586 คำร้อง มีคำวินิจฉัย 6 คำวินิจฉัยและคำสั่งจำนวน 570 คำสั่ง
ประธานศาลรัฐธรรมนูญยังย้ำถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยืนหยัดการรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยรักษาความเป็นกฏหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญรักษาระบอบการเมืองการปกครองตามที่รัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้และสร้างมาตรฐานที่สำคัญให้ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติใช้เป็นแนวทางปฏิบัติมุ่งในทางคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามหลักปณิธานของศาลรัฐธรรมนูญ ยึดหลักนิติธรรม ค้ำจุนประชาธิปไตย ห่วงใยสิทธิเสรีภาพของประชาชน
นอกจากนี้ ศาลได้ปรับตัวให้เข้ากับของโลกยุคดิจิทัลโดยได้พัฒนากระบวนการยุติธรรมที่อำนวยความสะดวก ให้แก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญได้โดยง่าย ผ่านช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เช่น ยื่นคำร้องผ่านทางระบบงานคดีรัฐธรรมนูญ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing and e-Service System) ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และในทุกประเภทคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม และไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งสามารถติดตามความคืบหน้าของคดี หรือผลคำวินิจฉัยหรือคำสั่งเกี่ยวกับคำร้อง ที่ได้ยื่นผ่านทางระบบงานคดีรัฐธรรมนูญอิเล็กทรอนิกส์