การเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ทะลุวัง เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าใจ เมื่อเธอถูกปลูกฝังความเชื่อปฏิกษัตริย์นิยมจากพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ จนคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนนับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค และหลายคนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เพราะการแสดงออกที่ละเมิดข้อบัญญัติของกฎหมาย
หลายคนถูกตัดสินจำคุกไปแล้ว หลายคนยังต่อสู้คดีอยู่ในชั้นศาล แม้ว่าในระยะหลังจะมีบางคดีที่ศาลยกฟ้องและรอลงอาญาที่สะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ดำเนินการเอาผิดอย่างเหวี่ยงแหและพิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นคดีๆ ไป และทุกคดีศาลจะเปิดโอกาสให้ประกันตัวหากไม่กระทำความผิดเดิมซ้ำๆ อีก
แต่ถ้าเราติดตามการแสดงออกที่ท้าทายต่อสถาบันกษัตริย์ของคนรุ่นใหม่บนท้องถนน บนโซเชียลมีเดียก็ต้องบอกเลยว่า หลายคดีนั้นรอดพ้นความผิดของกฎหมายยากมาก ด้วยข้อมูลปั้นแต่งถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย โดยนิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยให้ท้ายคนรุ่นใหม่เหล่านี้ที่ใช้คำหยาบคายว่า เป็นหลักแห่งความเสมอภาค คือยุส่งให้ใช้บรรทัดฐานแบบหยาบๆ นั้นต่อไป
คนที่อยู่ข้างหลังเด็กแบบนิธิที่ล่วงลับไปแล้วและหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แทนที่จะเตือนให้คนรุ่นใหม่เหล่านั้นใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวและเรียนรู้ว่า การแสดงออกหรือใช้ถ้อยคำอย่างไรที่จะมีความผิดตามกฎหมาย แต่กลับยุยงให้เด็กเหล่านั้นทะลุทะลวงไปอย่างบ้าบิ่นและท้าทายต่อกฎหมายมากยิ่งขึ้นจนกลายมาเป็น “กลุ่มทะลุวัง” ที่เหมือนเป็นหน่วยเดนตายที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการแสดงออกอย่างชัดแจ้งจากชื่อของกลุ่ม
แม้จะพยายามอ้างว่า การใช้มาตรา 112 เป็นการปิดกั้นการแสดงออกและละเมิดสิทธิเสรีภาพต้องไม่มีใครถูกจำคุกเพราะความเห็นต่างทางการเมือง แต่จริงแล้วการละเมิดมาตรา 112 นั้น เป็นการละเมิดเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วยการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย จึงไม่ใช่การแสดงออกตามเสรีภาพที่จะยอมรับได้ไม่ใช่ความเห็นต่างทางการเมือง อย่าว่าการกระทำนั้นจะกระทำต่อพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐที่ทุกประเทศต้องมีกฎหมายปกป้องเลย แม้แต่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายบุคคลธรรมดาก็ไม่อาจจะกระทำได้
ตรรกะผิดๆ นี้ก็เหมือนกับที่พรรคก้าวไกลฉกฉวยโอกาสออกมาเคลื่อนไหวทันทีหลังการเสียชีวิตของบุ้ง ทะลุวังว่า “ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับประเด็นและวิธีการที่คุณบุ้งแสดงออกในช่วงที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลขอยืนยันหลักการว่าในสังคมประชาธิปไตยสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนต้องได้รับการรับรองไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง ไม่ควรมีใครถูกปฏิเสธสิทธิในการได้รับประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมืองและไม่ควรมีใครถูกผลักให้ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิต
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยคดีการเมืองที่อยู่ระหว่างต่อสู้คดีการเร่งพิจารณากระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุทางการเมือง และฟื้นความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคน”
ถามพรรคก้าวไกลว่าการแสดงออกของคนรุ่นใหม่จำนวนมากจนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้น เป็นการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกและความเห็นต่างทางการเมืองหรือการละเมิดต่อบุคคลอื่นกันแน่ และยิ่งบุคคลที่ถูกละเมิดนั้นเป็นประมุขของรัฐมีรัฐไหนที่ยอมให้การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายเป็นเสรีภาพบ้างเช่นนั้นแล้วพรรคก้าวไกลไม่รู้ไม่เห็นเลยหรือว่า การแสดงออกของคนรุ่นใหม่ที่ให้ท้ายนั้นล้วนแล้วแต่สร้างพื้นที่ในการแสดงออกที่ไม่ปลอดภัยขึ้นมาเอง
ตอนนี้คนที่ถูกดำเนินคดีก็ได้รอคอยความหวังจากพรรคก้าวไกลว่า จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นไปได้ยากมากเพราะการละเมิดมาตรา 112 นั้นกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ที่อย่างไรเสียอำนาจรัฐก็ต้องปกป้องระบอบรูปแบบของรัฐ และประมุขของรัฐเป็นสำคัญ
เป็นที่รู้กันว่ามวลชนคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม และลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์นั้น มีจุดยืนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่แสดงบทบาทในทางการเมืองสอดคล้องไปกับการออกมาชุมนุมของคนรุ่นใหม่บนท้องถนน ตั้งแต่เสนอกฎหมายเพื่อแก้ไขมาตรา 112 ต้องการเอากฎหมายป้องกันการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคง และให้การละเมิดต่อพระมหากษัตริย์มีความผิดเท่ากับการดูหมิ่นบุคคลธรรมดาหรือน้อยกว่าในกฎหมายปัจจุบันด้วยซ้ำ รวมไปถึงข้อเรียกร้องที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์และรูปแบบของรัฐ
แม้ปัจจุบันหลังจากที่คนรุ่นใหม่หลายคนถูกดำเนินคดี การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ จะลดน้อยลง เพราะรอคอยโอกาสการนิรโทษกรรม แต่ความคิดที่ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่ให้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบและรูปแบบของรัฐนั้นได้แผ่กระจายลึกลงไปความคิดของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก และพวกเขาได้ฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลที่แสดงออกชัดเจนในการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และแฝงจุดมุ่งหมายที่ไปไกลกว่านั้นเอาไว้ แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้เพราะเกรงกลัวความผิดทางกฎหมาย
และเมื่อบุ้ง ทะลุวังเสียชีวิตลง ก็มีคนหลายคนคงจะหวังว่า การเสียชีวิตของบุ้งนั้นจะเป็นการจุดชนวนการลุกขึ้นมาเรียกร้องครั้งใหญ่อีกครั้ง แต่คนที่หวังดีต่อคนรุ่นใหม่เหล่านั้นควรจะออกมาตักเตือนว่า วิธีการที่พวกเขาใช้และท้าทายต่อกฎหมายรัฐนั้น ไม่ใช่วิถีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ต้องการได้ มีแต่จะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ไม่มีรัฐไหนในโลกนี้หรอกที่ไม่ปกป้องระบอบและรูปแบบของรัฐจากคนที่เรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแล้วอ้างว่าเป็นเรื่องของเสรีภาพ
ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม เราต้องทำให้สังคมส่วนใหญ่นั้นเห็นชอบกับแนวทางของเรา เราต้องต่อสู้ตามแนวทางที่ชอบธรรมและไม่ละเมิดต่อกฎหมายเมื่อคนรุ่นใหม่มีพรรคการเมืองของตัวเองแบบพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ก็ต้องรณรงค์ต่อสู้เพื่อให้สามารถชนะเลือกตั้งและเข้าไปบริหารประเทศให้ได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
เวลาและอนาคตข้างหน้าเป็นของคนรุ่นใหม่ในวันนี้แน่ แต่ขณะเดียวกันเวลาข้างหน้าก็ค่อยกลืนกินคนรุ่นใหม่ในวันนี้ให้กลายเป็นคนรุ่นเก่า เมื่อถึงวันนั้นคนรุ่นใหม่อีกรุ่นเขาอาจจะต้องการที่แตกต่างจากคนรุ่นใหม่ในวันนี้ ทางออกที่ดีคือ การรับฟังความเห็นและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันระหว่างคนต่างรุ่นไม่ใช่การเรียกร้องจะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองปรารถนาให้ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นสิ่งที่จะตามมาก็คือความขัดแย้งรุนแรงและเคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้วในสังคมไทยนอกเหนือไปจากความผิดตามกฎหมาย
การเสียชีวิตของบุ้งควรจะเป็นการเตือนสติให้คนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงรู้ว่า วิธีการต่อสู้ที่ดำเนินอยู่นั้นไม่ใช่หนทางที่จะไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan