หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
อาจจะมีคนบอกว่าการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมของเฉลิมชัย ศรีอ่อน ทำให้มองเห็นว่าอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินทางสู่ขาลง แต่พูดกันตามความจริงต่อให้เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่นายเฉลิมชัยก็ยากมากที่พรรคประชาธิปัตย์จะฟื้นกลับมาสู่ความนิยมได้อยู่ดี เพียงแน่เมื่อเป็นนายเฉลิมชัยก็จะเป็นอัตราเร่งของขาลงให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
เฉลิมชัยไม่ได้มีความโดดเด่นในสายตาของประชาชน ไม่ได้มีแสงออกจากตัวที่สว่างไสวในสายตาของประชาชน แม้จะลงเลือกตั้งในเขตพื้นที่ของตัวเองอย่างประจวบคีรีขันธ์ก็สอบตกมาแล้ว และถึงจะพูดว่าตัวเองเป็นรัฐมนตรีมือสะอาดไม่เคยแตะต้องเงินสกปรก ก็เป็นเพียงคำพูดของเจ้าตัวเองไม่ได้เป็นบทพิสูจน์อะไร
เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะตกต่ำกว่านี้ เพราะหัวหน้าพรรคไม่มีศักยภาพที่จะดึงดูดคะแนนเสียงจากประชาชนได้ คนที่จะเข้าสภามาได้ก็คงต้องใช้ความสามารถและปัจจัยส่วนตัวเป็นหลัก สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นพรรคระดับจังหวัดเท่านั้นเอง
เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงจะจบลงแล้ว ต่อแต่นี้ก็เหลืออยู่ว่าพลังอำนาจที่เคยก่อตัวเป็นสถาบันหลักของชาติไทยที่กำลังถูกท้าทายนั้นจะยืนหยัดตั้งรับการกระแสความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
เมื่อพรรคการเมืองที่มีประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมาจากกลุ่มนิยมกษัตริย์อย่างพรรคประชาธิปัตย์ต้องเดินทางมาถึงวันนี้ อนาคตของฝ่ายอนุรักษนิยมก็มาถึงเส้นทางวิบากไปด้วย และยิ่งในสถานการณ์ที่พรรคก้าวไกลซึ่งมีความคิดเป็นพวกปฏิกษัตริย์นิยมกำลังมาแรงในหมู่คนชั้นกลาง คนเมือง และคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว ก็ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่ในภาวะสั่นคลอนยิ่งขึ้น
แม้ตอนนี้ยังตั้งมั่นรับมือกับพรรคก้าวไกลเอาไว้ได้ เพราะพรรคการเมืองหลายพรรคจับมือกันเพื่อไม่ให้พรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และแม้พรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้จะยังเป็นฝ่ายค้าน แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่ใต้มือของนายเฉลิมชัย พรรคประชาธิปัตย์ก็คงพร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลมากกว่าจะร่วมมือกับพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ทางเดียวที่พรรคก้าวไกลจะเข้ามาเป็นรัฐบาลและเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศไปตามที่พรรคก้าวไกลคิดฝันก็คือ พรรคก้าวไกลต้องชนะได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวและใช้เสียงข้างมากไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 เกี่ยวกับรูปแบบของรัฐและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้
แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมก็หวั่นไหวไม่น้อยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลอาจจะได้รับการเลือกตั้งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นบทบาทของพรรคฝ่ายค้านในฐานะเป็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลด้วยแล้วก็ยิ่งจะเรียกคะแนนนิยมได้มาก ยิ่งถ้ารัฐบาลผิดพลาด คะแนน ความนิยม และแต้มต่อของพรรคฝ่ายค้านก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น หรือแม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้ายังสามารถต้านทานพรรคก้าวไกลไม่ให้ได้เสียงข้างมากพรรคเดียวได้ แต่คำถามว่าเราจะต้านทานไว้ได้ถึงเมื่อไหร่
ต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้พรรคที่ยังพอต่อกรกับพรรคก้าวไกลก็คือพรรคเพื่อไทยของทักษิณเท่านั้น แต่บุคลากรและโครงสร้างของพรรคเพื่อไทยนั้นอยู่ในมือของพรรคทักษิณเพียงคนเดียว ทุกอย่างจึงต้องรอการตัดสินใจและสั่งการจากทักษิณคนเดียวพรรคไม่ได้มีพลวัตในตัวของมันเอง ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยยังคงอาศัยแรงเฉื่อยของระบอบทักษิณที่เคยซื้อใจประชาชนจากนโยบายประชานิยมได้เท่านั้นเอง
ด้านหนึ่งความเป็นอนุรักษนิยมไม่สามารถซื้อใจคนรุ่นใหม่ได้ และถูกมองเป็นระบอบและโครงสร้างอันคร่ำครึก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากเอาตัวเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอนุรักษนิยม ทั้งที่ความเป็นอนุรักษนิยมความหมายของมันคือ ปรัชญาการเมืองและสังคมที่เน้นการอนุรักษ์สถาบัน ประเพณี และแนวปฏิบัติที่มีอยู่ พยายามรักษาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมักแสดงความกังขาต่อการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง แม้ว่าอุดมการณ์อนุรักษนิยมบางครั้งจะแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปนิยมสนับสนุนการแทรกแซงของรัฐบาลอย่างจำกัด เศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และการให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบส่วนบุคคล ในสังคม พรรคอนุรักษนิยมอาจสนับสนุนค่านิยมดั้งเดิมและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม
แต่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมองว่าอนุรักษนิยมคร่ำครึและล้าหลังและเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาของสังคมไทย และมองว่าสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของอนุรักษนิยมที่เป็นเป้าหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงถูกผลักดันให้ออกมาท้าทายและเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์บนท้องถนน แต่ด้วยวุฒิภาวะและความเข้าใจสภาพที่เป็นจริงของสังคมไทยยังอ่อนด้อย ทำให้เนื้อหาและรูปแบบที่คนรุ่นใหม่เคลื่อนไหวจึงมีแต่ความรุนแรงและหยาบคาย จนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมาก
พวกผู้ใหญ่ที่ผลักดันให้เด็กออกมาเรียกร้องบนท้องถนนก็รู้ว่าวิธีการที่คนรุ่นใหม่ใช้นั้นยากที่จะพ้นจากความผิดในมาตรา 112 ได้ แต่พวกผู้ใหญ่เหล่านี้ต้องการใช้การที่รัฐใช้มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือ เพื่อไปเรียกร้องความสนใจต่อชาวโลกว่า รัฐไทยใช้กฎหมายในการปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน ทั้งที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะมาตรา 112 นั้นเขียนไว้ชัดว่า ไม่ให้ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ได้ไปผิดกั้นเสรีภาพของใคร เพราะไม่ว่าที่ไหนในโลกก็ไม่ให้เสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายผู้อื่นอย่างว่าแต่นั่นเป็นถึงประมุขของรัฐเลย
เห็นได้ว่าตอนนี้กระแสเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ให้ปฏิรูปกษัตริย์นั้นเงียบหายลงไป ก็เพราะหลายคนที่ถูกดำเนินคดีโดยพฤติกรรมและการกระทำคำพูดแล้วยากมากที่จะรอดพ้นความผิด แม้ว่าปัจจุบันมีหลายคดีที่ศาลยกฟ้องและรอลงอาญาในมาตรา 112 นั่นหมายถึงถ้าจะมีความผิดต้องมีความผิดจริงๆไม่ใช่ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม แต่ถ้าเราได้ฟังและเห็นการกระทำของคนที่ถูกดำเนินคดีหลายคนก็คงต้องบอกว่ารอดยาก ตอนนี้จึงถูกสั่งให้หยุดการเคลื่อนไหวลง และพรรคก้าวไกลก็พยายามเดินเกมนิรโทษกรรมโดยอ้างความขัดแย้งทางการเมืองและให้รวมคดีมาตรา 112 เข้าไปด้วย
แต่การที่เราต้องพึ่งพิงพรรคของทักษิณ เราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า พรรคของทักษิณที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคก้าวไกลมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณเจ้าของพรรคเพื่อไทยในทางพฤตินัยกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรคก้าวไกลในทางพฤตินัย เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เราจะฝากระบอบและรูปแบบของรัฐที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ได้
ต้องยอมรับว่า วันนี้ประชาชนฝ่ายอนุรักษนิยมไม่เพียงแต่ลงน้อยลงค่อยล้มหายตายจากไปและไม่สามารถปลูกฝังความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ได้เลย ฝ่ายอนุรักษนิยมส่วนหนึ่งยังคงแตกแยกทางความคิดกันด้วย ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่พวกเขาต้องการให้เข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่สามารถหาเอกภาพได้เลย จึงต้องพึ่งพาพรรคของทักษิณมาเป็นหัวขบวนในการตั้งรับกับพรรคก้าวไกล
แต่พรรคเพื่อไทยของทักษิณนั้นก็ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองที่เรียกได้ว่า กำลังเป็นขาขึ้น พูดกันทางความจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยแม้จะยังสามารถครองใจประชาชนได้ส่วนหนึ่ง แต่ค่อยๆ ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมยากที่จะฝากความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทยในระยะยาวได้ อนาคตของฝ่ายอนุรักษนิยมและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงไม่อาจจะตั้งมั่นอยู่ด้วยความมั่นคงและมีเสถียรภาพได้ ถ้าหากเราไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดในหมู่คนรุ่นใหม่ว่า แนวทางอนุรักษนิยมนั้นมีพลวัตในตัวของมันที่จะนำพาประเทศได้ๆไม่ใช่ความคร่ำครึล้าหลังอย่างที่เข้าใจกัน
เราต้องยอมรับนะครับว่า วันนี้สถาบันกษัตริย์เองก็มีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปตัวเองอย่างมีนัยสำคัญในหลายด้าน นั่นก็หมายความว่าทรงเข้าใจและตระหนักต่อทิศทางและสถานการณ์ของสายลมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงทิศทางไป แต่เรารู้ว่าคนที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงนั้นเขามีความต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันพลิกฝ่ามือที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา
นี่คือกระแสและทิศทางของฝ่ายอนุรักษนิยมและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่กำลังถูกท้าทายและสั่นคลอนอย่างรุนแรง
ติดตามผู้เขียนได้ที่