ขบวนการคนรุ่นใหม่นั้นก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ แล้วเริ่มก่อหวอดบนท้องถนน จนกระทั่งลุกลามลามปามมาก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเริ่มทะลุเพดานมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ภายใต้การนำพาของอานนท์ นำภา ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563
ซึ่งในวันนั้นอานนท์ประกาศว่า “นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปถ้าใครมาเชิญผมขึ้นเวทีปราศรัยแล้วให้ผมพูดบิดเบือนไม่กล่าวถึงปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ผมไม่ขึ้นเวทีผมจะขึ้นเฉพาะเวทีที่เปิดให้ผมพูดความจริงเท่านั้น และผมยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผมพูดด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ หากผมพูดปดแม้แต่น้อยขอให้ผมมีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวัน”
และต่อมาอัยการระบุในคำฟ้องว่า “…ทําให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปเกิดความตระหนกตกใจเกิดความเข้าใจผิดและถูกชักจูงให้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักและเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศจนอาจนํามาซึ่งความเกลียดชังหรือความแตกแยกในสังคมอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย”
ตอนนี้อานนท์อยู่ในคุก และถูกพิพากษาลงโทษในข้อหาตามมาตรา 112 มาแล้ว 2 คดี รวมจำคุก 8 ปี และยังมีอีกหลายคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
แต่จากการจุดไฟของอานนท์ที่เรียกว่า เป็นการทะลุเพดานครั้งนั้นนำมาสู่ความห้าวหาญในการท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต โดยการนำของอานนท์ ภาณุพงศ์ จาดนอก และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ขึ้นมาอ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง
เช่นยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมดเพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมดยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ ฯลฯ
ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุจริตเป็นการละเมิดกฎหมายมีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งมีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระทำกันเป็นขบวนการซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จมีลักษณะของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม
จากนั้นการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ก็ขยายออกมาบนท้องถนน มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคาย ซึ่งนิธิ เอียวศรีวงศ์ พยายามอธิบายช่วยตะแบงว่าคำหยาบในการชุมนุมของคนรุ่นใหม่นั้นเป็นการแสดงถึงความเสมอภาค จนกระทั่งมีคำถามว่า ถ้าเจอนิธิก็ให้ตะโกนเรียกว่า “ไอ้เห...นิธิ” จะได้ใช่ไหม
แต่พฤติกรรมที่ท้าทายของคนรุ่นใหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งล้วนแล้วแต่เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เกิดขึ้นอย่างสะพัดจนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมาก เพราะเป็นหลักการพื้นฐานของบังคับใช้กฎหมาย เมื่อคนกระทำความผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่า มีการใช้มาตรา 112 มากลั่นแกล้งทางการเมืองและปิดกั้นละเมิดเสรีภาพ
ทั้งที่ไม่มีเสรีภาพที่ไหนในโลกนี้ ไม่ว่ากระทำกับใครที่อนุญาตให้ใช้เสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายผู้อื่น และหากพูดถึงประมุขของรัฐแล้ว ทุกประเทศก็ล้วนแล้วแต่มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐเหมือนกันทั้งนั้น
พวกต่อต้านสถาบันกษัตริย์ก็พยายามส่งเสียงโวยวายว่ารัฐบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้นทำให้มีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวนมาก ทั้งที่มีผู้ถูกดำเนินคดีมาก เพราะมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายมากนั่นเอง ถ้าไม่มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย มาตรา 112 ก็ไม่สามารถไปเอาผิดใครได้ เช่นเดียวกับผู้ถูกดำเนินคดียาเสพติดจำนวนมากจนล้นคุกก็เพราะมีผู้กระทำความผิดมากนั่นเอง
แทนที่เมื่อหลายคนถูกดำเนินคดีแล้วพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเด็กเหล่านี้จะห้ามปรามกลับดันหลังและยุยงให้เด็กออกมาก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น เมื่อเด็กถูกดำเนินคดีมากขึ้นก็จะนำไปฟ้องต่อสังคมโลกว่า ประเทศไทยใช้กฎหมายมาปิดกั้นเสรีภาพ มีการเคลื่อนไหวเพื่อขอเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ตลอดจนทำให้เด็กเหล่านั้นได้รับการยกย่องเชิดชู เช่น อานนท์ได้รางวัลด้านสิทธิมนุษยชนที่เกาหลีใต้ หรือ รุ้ง ปนัสยา ได้รับรางวัล 1 ในร้อยหญิงผู้ทรงอิทธิพลของโลก ฯลฯ
หรือที่สื่อในประเทศอย่าง The People ของเครือเนชั่นยกย่องแบมและตะวันว่า ได้รับรางวัล The People Awards 2023 ในฐานะคนต้นแบบผู้พร้อมสำหรับอนาคตที่กำลังมาถึง ทั้งที่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายผู้อื่น เป็นข้อกล่าวหาที่ทั้งสองถูกดำเนินคดี การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ควรจะยกย่องหรือ โดยยังไม่ต้องมองว่าผู้ที่ทั้งสองละเมิดนั้นเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นประมุขของรัฐ
แต่แน่นอนศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้แล้วว่า การก้าวล่วงเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นมีการกระทำเป็นขบวนการ และสั่งให้เลิกกระทำ ขบวนการเดียวกันนี้ย่อมหมายถึงคนที่คอยช่วยเหลือในการประกันตัวที่ส่วนใหญ่มักจะเป็น สส.ของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะกรณีของตะวัน ตัวตุลานนท์ นั้น คนที่เป็นนายประกันด้วยตัวเองก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และถึงขั้นประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะทำภารกิจร่วมกันเพื่อฉลองชัยชนะของประชาชน ในวันที่ตะวันอดข้าวอยู่ในคุกจากข้อหาตามมาตรา 112
ดังนั้นภารกิจของพิธาก็คือ ภารกิจที่ตะวันถูกกล่าวหาและดำเนินคดีนั่นเอง
การเคลื่อนไหวมีลักษณะชัดเจนว่า มีการแบ่งงานกันทำ คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวบนท้องถนน มีคนที่อยู่ข้างหลังคอยช่วยเหลือถ้าถูกดำเนินคดีในทางกฎหมายทั้งพรรคก้าวไกลและจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีสื่อที่คอยขยายข่าวเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ คู่ขนานไปกับการเคลื่อนไหวในสภาฯ ของพรรคก้าวไกลเพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ การเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่า เป็นเจตนาของพรรคก้าวไกลที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าว
จากการให้ท้ายกันทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นนักวิชาการ ปัญญาชนที่แอบอยู่ข้างหลังเด็กๆและพรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล ทำให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้แสดงออกถึงความท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงมากขึ้น มีการตั้งชื่อกลุ่มว่า ทะลุวัง ซึ่งมีเจตนาชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายใดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากคำกล่าวหาที่หยาบคายแล้ว ยังก้าวไปถึงการสร้างความปั่นป่วนในขบวนเสด็จฯ ซึ่งทุกรัฐแม้แต่ที่ไม่ได้มีกษัตริย์ก็ล้วนแล้วแต่ต้องอารักขาความปลอดภัยผู้นำอย่างสูงสุดทั้งสิ้น
จนกระทั่งครั้งล่าสุดที่เกิดกับขบวนเสด็จฯ ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นที่เคารพรักของพสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างสูงด้วย เพราะพระภารกิจต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อชาติและประชาชน ทำให้คนไทยจำนวนมากรับไม่ได้กับการกระทำดังกล่าว
เห็นได้ชัดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ล้วนแล้วแต่มุ่งหวังที่จะทำประโยชน์ต่อแผ่นดินและพสกนิกร แต่พวกต่อต้านสถาบันต่างหากที่พยายามดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan
